ดินแดนพระพุทธศาสนา จากพุทธคยาสู่พาราณสี
The
Land of Buddhism from Bodh-Gaya to Varanasi
พระมหาวันดี
กนฺตวีโร (ปะวะเส)
Phramaha
VandeeKantaveero (Pavase)
นิสิตปริญญาเอก
สาขาวิชาปรัชญา มจร. วิทยาเขตขอนแก่น
๑. บทนำ
สังเวชนียสถาน
คือ สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช เป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะสังเวชนียสถาน หมายถึงสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า
เกิดความแช่มชื่น เบิกบาน เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี เมื่อได้ไปพบเห็น สังเวชนียสถาน มี ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนาและสถานที่ปรินิพพาน สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้ ท่านว่าเป็นสถานที่ควรไปเคารพสักการะ ควรไปแสวงบุญ
เพื่อให้เกิดความสังเวชและเกิดพุทธานุสติ
อันจักนำมาซึ่งบุญกุศลและความปลาบปลื้มแช่มชื่นใจ จากเนื้อความในมหาปรินิพพานสูตร
แสดงให้เห็นว่าสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้ ได้เกิดขึ้นโดยคำแนะนำของพระพุทธองค์ที่ได้ตรัสว่า “ผู้ใดระลึกถึงพระองค์ พึงจาริกไปยังสังเวชนียสถานทั้งสี่นี้” ในโอกาสที่ได้เดินทางไปสักการะตามรอยบาทของพระศาสดาในครั้งนี้
ทำให้ข้าพเจ้าได้นึกถึงปัจฉิมวาจาที่พระทศพลทรงแสดงเอาไว้ว่า “อย่าประมาท”
เราไม่พึงประมาทในวัย ว่าวัยของเรายังไม่แก่ไม่ชรา เราไม่พึงประมาทในชีวิตว่า
ชีวิตเป็นของยั่งยืนเพราะไม่เกินร้อยปีเป็นที่สุดก็ไม่อาจจะตั้งอยู่ได้
เราไม่ประมาทในอายุว่า อายุของเรายังน้อยเพราะความตายไม่เลือกว่าอายุน้อยหรือมาก
ทุกสรรพชีวิตอาจตายได้ทุกขณะหากประมาท
พึงทำกิจของตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทตามพินัยธรรมที่ทรงประทานเอาไว้
แม้ศาสนธรรมที่ทรงตรัสไว้ดีแล้ว พระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว
พระศาสนาที่ตั้งมั่นในชมพูทวีป สุดท้ายก็เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดีย มิติที่นำเสนอจึงอยากพาผู้อ่านได้ย้อนรอยตามพระพุทธบาทจากพุทธคยาสู่กรุงพาราณสีในเบื้องต้น
ตั้งแต่ตรัสรู้สู่การประกาศธรรมครั้งแรก
เพื่อน้อมนำให้เกิดศรัทธาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าในลำดับต่อไป
๒. พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้
พุทธคยา :
ในครั้งพุทธกาล
เมื่อพระองค์เสด็จออกผนวชแล้วก็ได้แสวงหาครูอาจารย์จากสำนักต่างๆ
จนหมดสิ้น แต่ไม่มีลัทธิใดที่จะสามารถแนะนำแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้เลย
อย่างมากที่สุดก็ได้เพียงแค่ฌานสมาบัติ ๘ เท่านั้นเอง
จากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปตามป่าเขาห้วยลำเนาไพรเพื่อหาสถานที่อันสงบเป็นที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม
โดยมีพราหมณ์จำนวน ๕ ท่าน(ปัญจวัคคีย์) ติดตามคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ด้วยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้รู้ธรรมวิเศษแล้วจักนำมาสั่งสอนพวกตนให้รู้ตามบ้าง
พระองค์จึงทรงหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะปฏิบัติให้บรรลุสัจธรรม
ก่อนที่พระองค์จะมาปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง)
พระองค์ก็ปฏิบัติอย่างสุดโต่ง อาทิ กลั้นลมหายใจบ้าง กัดฟันบ้าง
กัดลิ้นบ้าง อดอาหารบ้าง บางครั้งถึงกับพระโลมา (ขน) หลุดร่วงออกมาเป็นเส้นๆ และซีดผอมเหลือเพียงหนังห่อหุ้มกระดูก
แทบไม่มีพละกำลังขยับเขยื้อนพระวรกายเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ท้าวสักกะเทวราชลงมาดีดพิณสามสายให้ฟังโดยสรุปใจความว่า “สายที่หนึ่งนั้นหย่อนเกินไปเมื่อฟังย่อมไม่ไพเราะ
สายที่สองนั้นตรึงเกินไปดีดได้สักพักก็สายขาด
และสายที่สามนั้นพอดิบพอดีทำให้เสียงพิณไพเราะยิ่งนัก” พอได้ยินดังนั้น
ด้วยอานุภาพแห่งพระปัญญาญาณซึ่งได้สั่งสมบารมีมาหลายภพหลายชาติ
พระองค์จึงรู้ทันทีว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรให้บรรลุธรรมที่เป็นของจริงอันประเสริฐ
จึงทรงหันมาปฏิบัติตามทางสายกลางหรือที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา[1]”
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง
๕ คลายความศรัทธาที่มีต่อพระองค์ปลีกหนีไป โดยกล่าวว่า “พระสมณะโคดมคลายความเพียรเสียแล้วหันมามักมากในกามคงจักไม่มีทางบรรลุธรรมวิเศษเป็นแน่นอน” ว่าแล้วก็พากันหนีไปอาศัยที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี แคว้นกาสี (ปัจจุบันอยู่ที่สารนาถ) เมื่อพระองค์หันมาเสวยพระกระยาหาร โดยได้รับข้าวมธุปายาสจากพระนางสุชาดา
แล้วทรงเสวยพระกระยาหารนั้น
ต่อจากนั้นทรงอธิษฐานลอยถาด
ณ ริมฝั่งแม่น้ำ “เนรัญชรา” โดยตรัสว่า
“ถ้าหากว่าข้าพเจ้าจักได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอให้ถาดทองลอยทวนกระแสน้ำด้วยเถิด”
ก็เป็นดังที่พระองค์อธิษฐานไว้จริงๆ
ระหว่างทางก่อนที่จะเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราก็มีนายพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า “โสตถิยพราหมณ์” นำหญ้ากุสะมาถวายให้เป็นอาสนะ (ที่ปูนั่ง) จำนวน ๘ กำมือ
พระองค์ก็ทรงเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรามาประทับนั่งโดยปูหญ้าคาของโสตถิยะพราหมณ์ภายใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์
พระองค์ทรงนั่งบนแท่นวัชชิรอาสน์ (บัลลังก์บุรุษผู้มีใจแกร่งดั่งเพชร)
และทรงอธิษฐานว่า “แม้ว่าร่างกายของเราจะเหือดแห้งเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็ตาม
ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจักไม่ลุกออกจากแท่นนี้โดยเด็ดขาด”
และที่ตรงนี้นี่เองที่พระองค์ทรงเอาชนะลูกสาวของพญามาร[2]ได้ ไม่นานนัก พอถึงวันเพ็ญวิสาขะ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖
พระองค์ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[3] ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ (Bodhi-Tree) เมืองพุทธคยา (ปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร) ใกล้ๆ กับริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
พระองค์ทรงได้ตรัสรู้ของจริงอันประเสริฐ
๔ ประการ คือ “อริยสัจ ๔ นั่นเอง” อริยสัจข้อที่
๑ ได้แก่ ทุกข์ หมายถึงความทุกข์ทั้งปวงที่เกิดขึ้น อริยสัจข้อที่ ๒ ได้แก่สมุทัย
หมายถึงเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้เกิดความทุกข์ อริยสัจข้อที่ ๓ ได้แก่นิโรธ
หมายถึงความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และอริยสัจข้อที่ ๔ ได้แก่ มรรค
คือหนทางเดินไปสู่ความหลุดพ้น (อริยมรรค) หรือ พระเดชพระคุณพระสุเมธาธิบดี (บุญเลิศ) เรียกสถานที่นี้ว่า “พระเจดีย์ที่ตรัสรู้ของมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
พุทธคยา
: ในปัจจุบัน
พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ เป็นที่ประทับตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลพุทธคยา อำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
มีลักษณะเป็นรูปเจดีย์สี่เหลี่ยม มีความสูง ๑๗๐ ฟุต วัดโดยรอบฐาน ๑๒๑.๒๙ เมตร มีรูปทรงเรียวรีสง่างามสมส่วน
เป็นที่ประทับใจแก่บรรดาผู้ที่เดินทางมาสักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีนั้น
ในครั้งสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างเป็นมหาวิหารที่สง่างามและใหญ่โต
ทั่วรัฐพิหาร ในยุคสมัยพระพุทธศาสนารุ่งเรืองก็ได้สร้างวิหารไว้มากมายหลายแห่งทั่วรัฐพิหารเลยทีเดียว
จะไปบ้านไหน เมืองไหน ก็จะพบแต่วิหารที่สวยงามเปรียบเสมือนประเทศสยามของเราในขณะนี้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ภาคไหน จังหวัดไหน หมู่บ้านไหน ก็จะมีวัดวาอารามเต็มไปหมด
ส่วนสาเหตุที่เรียกว่า “รัฐพิหาร” ก็เพราะมาจากคำว่า
“วิหาร” นั่นเอง รัฐนี้มีวิหารเต็มไปหมดจึงได้ชื่อเช่นนั้น
ซึ่งเป็นรัฐที่พระพุทธศาสนาตั้งรากฐานไว้ที่นั่นเป็นที่มั่นในการประกาศพระศาสนาของพระพุทธองค์
มีพระมหากษัตริย์มากมายหลายยุคหลายสมัยอีกทั้งยังมีพวกตระกูลเศรษฐีผู้มั่งคั่งหลายตระกูลในรัฐนี้
ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช
๖๙๔ กษัตริย์ชาวพุทธพระนามว่า “หุวิชกะ” ได้พิจารณาเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ในฐานะที่พุทธคยาเป็นพุทธสถานต้นกำเนิดแห่งศรัทธา
เป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาด้วย จึงได้ให้ช่างออกแบบสร้างเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงให้ช่างออกแบบเป็นรูปเจดีย์สี่เหลี่ยมดังกล่าว โดยได้สร้างเป็นสองชั้นภายในองค์พระมหาเจดีย์
ชั้นล่างเป็นที่กราบนมัสการหลวงพ่อพุทธเมตตา
ชั้นที่สองเป็นห้องเจริญจิตภาวนาของเหล่าชาวพุทธทั้งหลายที่มีความประสงค์จะชำระจิตของตนเองให้ผ่องใสหรือที่ต้องการให้จิตใจเกิดความสงบ
เนื่องจากว่าพระมหาเจดีย์องค์นี้
มีอายุยืนมากจึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ตลอดมาโดยลำดับ
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอินเดียเอง หรือชาวพุทธจากประเทศศรีลังกา ชาวพุทธจากพม่า
ชาวพุทธจากเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธที่เดินทางมาจากเมืองไทย[4] ฯลฯ เป็นต้น ได้ร่วมกันบริจาคปัจจัยในการบูรณะซ่อมแซม
และเป็นที่น่ายินดีเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๔๗-๔๘ ได้มีช่างไทยได้ร่วมซ่อมแซมยอดขององค์พระมหาเจดีย์ด้วย
ณ
ปัจจุบันนี้การบูรณะก็ได้เสร็จเรียบร้อยแล้วทำให้องค์พระมหาเจดีย์มีความสวยงามและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
มองดูแล้วชวนให้เกิดความศรัทธายิ่งนัก
บริเวณภายในและรอบๆ
เขตมณฑลของพระมหาเจดีย์ศรีมหาโพธิ์
ก็ยังมีสถานที่สำคัญอันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์อีกมากมายหลายแห่ง ซึ่งจะได้นำพาท่านผู้อ่านติดตามกันต่อไป
ตอนนี้จะขอแนะนำสถานที่สำคัญอื่นๆ
เพื่อเป็นการชี้ชวนชมให้มองเห็นภาพขึ้นมาก่อนที่จะเห็นภาพจริงๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
คือ
สถานที่สำคัญในมณฑลพุทธคยา
สถานที่
|
ความสำคัญ
|
องค์พระมหาเจดีย์
|
เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสร้างในสมัยของพระเจ้า
“หุวิชะกะ”
(Huvishaka) ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปีพุทธศักราช ๖๙๔
|
ต้นพระศรีมหาโพธิ์
|
เป็นสหชาติ (เกิดพร้อมกันกับพระพุทธเจ้า)และเป็นสถานที่ให้ร่มเงาแก่พระพุทธเจ้าขณะที่บำเพ็ญธรรมอยู่ (ปัจจุบันเป็นต้นที่ ๔)
|
พระแท่นวชิรอาสน์
|
เป็นแท่นหินทรายสร้างในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นเครื่องระลึกถึงสถานที่ประทับนั่งของพระบรมศาสดาก่อนจะได้ตรัสรู้และหลังตรัสรู้แล้ว
|
อนิมิสสเจดีย์
|
หลังตรัสรู้แล้ว
พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขเป็นสัปดาห์ที่ ๒
ทรงเพ่งดูต้นพระศรีมหาโพธิ์โดยไม่กระพริบพระเนตรตลอด ๗ วัน
|
รัตนจงกรมเจดีย์
|
พุทธานุสรณ์ในคราวเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์แรก
การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถที่สำคัญของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงเดินจงกรมด้วย
|
รัตนฆรเจดีย์
|
นิรมิตเรือนแก้วอยู่ทางทิศพายัพของต้นพระศรีมหาโพธิ์พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่
๕ ทรงพิจารณาอภิธรรมปิฏกตลอด ๗ วัน
|
เสาอโศก (จำลอง)
|
อนุสสติพุทธานุสรณ์สถาน ณ ปริมณฑลแดนตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีลักษณะเป็นเสาหินทรายเนื้อเกลี้ยงเกลาขัดมันเรียบวัดได้โดยรอบประมาณ
๕ ฟิต พระเจ้าอโศกได้ทรงสร้างเอาไว้ทุกแห่งของสังเวชนียสถาน
บางเสาจารึกคำสอนพระพุทธศาสนาไว้ก็มีโดยใช้เป็นอักษรพรัมมีจารึก
|
สระมุจจลินท์ (จำลอง)
|
พระองค์ทรงเสวยวิมุตติสุข สัปดาห์ที่ ๖
มีฝนตกหนักตลอดทั้ง ๗ วัน ๗ คืน พญานาคนามว่า “มุจจลินท์” ได้แผ่พังพานกั้นลมฝนแด่พระพุทธองค์
|
ราชายตนะและราชายตนะเจดีย์
|
(เป็นไม้ตระกูลไทร) อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ห่างจากสระมุจจลินท์เพียงเล็กน้อย
พระพุทธองค์ใช้เป็นที่เสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่ ๗
ภายหลังที่ตรัสรู้แล้ว ส่วนราชายตนะเจดีย์นั้นอยู่ในเขตพระมหาเจดีย์พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่
๗ มีท้าวสักกะเทวราชเข้าเฝ้าและทรงแสดงธรรมโปรดพานิชสองพี่น้องคือ
ตปุสสะและภัลลิกะ
|
ที่ทรงอธิษฐานลอยถาด
|
เป็นสถูปเล็กๆ เพื่อเป็นอนุสรณ์ลอยถาดข้าวมธุปายาสที่พระนางสุชาดาถวายก่อนที่พระองค์จะรับหญ้ากุสะจากโสตถิยะพราหมณ์
อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราด้านทิศตะวันออก เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสเสร็จ
ทรงลอดถาดด้วยแรงอธิษฐานว่า “หากข้าพเจ้าจักได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ขอให้ถาดทองนี้ลอยทวนกระแสน้ำด้วยเถิด” ปรากฏว่าถาดลอยทวนกระแสน้ำระยะประมาณ
๘๐ ศอกและจมดิ่งลงสู่พื้นแห่งมหานทีนั้นทันที
|
หมู่บ้านนางสุชาดา
และเนินบ้านนางสุชาดา
|
อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเนรัญชรา
จากการขุดค้นของทางโบราณคดีได้พบสถูปเก่ามีลักษณะเหมือนซากวัดเก่าโบราณ
สันนิษฐานว่าพระนางสุชาดาคงได้ถวายให้เป็นวัด ณ
วันนี้นักโบราณคดีได้ขุดเพิ่มเติมปรากฎว่ามีลักษณะเป็นฐานวงกลมคล้ายกับสถูปหลายชั้นซึ่งยังไม่เสร็จ
ปัจจุบันได้เรียกหมู่บ้านนี้ว่า “หมู่บ้านนางสุชาดา”
|
ต้นอชปาลนิโครธ
|
พระพุทธองค์ทรงเสวยวิมุตติสุขในสัปดาห์ที่
๕ ตลอด ๗ วันและตอบปัญหาพราหมณ์ทุกๆ ชาติ
|
อาศรมของชฎิล ๓ พี่น้อง
|
คือ ๑.อุรุเวลากัสสปะ ๒.นทีกัสสปะ ๓.คยากัสสปะ ทั้งสามพี่น้องนี้ชอบทำพิธีบูชาไฟและมีบริวารมากในขณะนั้น
ถ้านำลูกศิษย์ของทั้งสามท่านมารวมกันเป็นจำนวน ๑,๐๐๐ คน
ต่อมาได้บวชในพุทธศาสนาและได้บรรลุธรรมตามพระพุทธองค์
|
ถ้ำดงคสิริ
|
ห่างจากพุทธคยาประมาณ ๙ กิโลเมตร
บนเขาลูกนี้มีถ้ำเล็กๆ
เชื่อกันว่าเป็นที่พักหลบฝนของพระพุทธองค์ขณะที่บำเพ็ญเพียรและบำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นเวลา
๖ ปี
|
ที่รับหญ้ากุสะจากโสตถิยะพราหมณ์
|
ขณะที่กำลังจะเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราฝั่งทางด้านทิศตะวันออก
เพื่อไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์ นายพราหมณ์โสตถิยะทรงนำหญ้ากุสะมาถวายจำนวน ๘ กำมือ
เพื่อปูลาดที่ประทับนั่งบำเพ็ญเพียรก่อนที่จะได้ตรัสรู้
|
ตอนนี้จะขอกล่าวถึงประวัติของต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง
๔ ต้นพอสังเขปเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นภาพอย่างถูกต้องและพิจารณาต่อไป
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๑
ก่อนที่พระองค์จะประทับนั่ง
ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์บนแท่นวชิรอาสน์ พระองค์ทรงอธิษฐานว่า“ถึงแม้เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป แม้จะยังคงเหลือเพียงหนัง เส้นเอ็น
และกระดูกก็ตาม หากข้าพเจ้ายังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไซร้
ข้าพเจ้าจักไม่ยอมลุกออกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด” คาถาบทนี้เป็นคำอธิษฐานที่สำคัญที่สุดเพื่อพระโพธิญาณของพระองค์
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “คาถาหัวใจเพชร” พระเดชพระคุณพระสุเมธาธิบดี อดีตอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ท่านแปลว่า คำว่า “วชิรอาสน์[5] หมายถึง สถานที่นั่งของมหาบุรุษใจเพชร” ทรงมีน้ำพระทัยอันเด็ดเดี่ยวยากที่บุคคลใดในโลกจะกระทำได้เยี่ยงอย่างพระองค์
ไม่นานนักเมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
พระองค์ก็ทรงบรรลุโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนปัจฉิมยาม (ใกล้สว่าง) ณ ภายใต้ควงต้นแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาต้นพระศรีมหาโพธิ์
(อัสสัตถพฤกษ์) จึงมีความสัมพันธ์เนื่องด้วยพระพุทธองค์โดยตรง
เนื่องจากว่าเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พุทธบริษัทจึงเรียกต้นอัสสัตถพฤกษ์ว่า
“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ตราบเท่าทุกวันนี้
พอหลังพุทธปรินิพพานประมาณ
๓๕๒ ปีต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นช่วงที่พระเจ้าอโศกมหาราชกำลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
ทุกครั้งพระองค์จะเสด็จมาปฏิบัติธรรมเจริญจิตภาวนาที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำแทบไม่ขาดช่วงเลย
บ่อยครั้งที่พระองค์ทรงประทับค้างแรม ณ ที่แห่งนั้น
ด้วยเหตุนี้เองทำให้พระมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงพระนามว่า “มหีสุนทรี”
ทรงอิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ จึงวางอุบายให้สาวใช้ชื่อว่า “นครา” ไปปฏิบัติรับใช้พระเจ้าอโศกฯ อย่างใกล้ชิด
และก็ให้นำยาพิษไปเทใส่โคนต้นของพระศรีมหาโพธิ์ด้วย ทำอย่างนี้ทุกวันจนกระทั่งต้นพระศรีมหาโพธิ์เหี่ยวเฉาลงและตายในที่สุด
สรุปแล้วต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกตายเพราะถูกแรงอิจฉา
พระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๒
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงทราบความจริงว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายเพราะโดนยาพิษ
พระองค์ทรงเข้าพระทัยถูกต้องว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายเพราะโดนยาพิษมิใช่ตายเพราะเสื่อมบุญญาธิการแต่ประการใด พระองค์จึงได้ใช้แรงอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง
โดยใช้ให้ข้าราชบริพารนำน้ำนมจากวัวนมจำนวน ๑,๐๐๐ ตัว นำมารดที่โคนต้นเป็นประจำทุกวัน
ไม่นานนักหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ได้งอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พระองค์ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมาประมาณ ค.ศ.๖๐๐-๖๒๐ กษัตริย์พระนามว่า “สาสางกา” แห่งศาสนาฮินดู แคว้นเบงกอล ได้มาทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์
ด้วยแรงอิจฉาอีกเช่นกัน ต้นที่ ๒ นี้อายุนานถึง ๘๗๑-๘๙๑ ปี
พระศรีมหาโพธิ์ต้นที่
๓
ต้นที่
๓ นี้ไม่มีใครได้ประทุษร้ายไม่มีใครอิจฉาเลย
หมดอายุขัยเองตามธรรมชาติ ได้ถูกพายุพัดล้มลง
และตายเอง ณ ที่เดิมแรกนั้นและต้นที่ ๓ นี้มีอายุยืนนานมากที่สุด คือมีอายุนานมาถึง
พ.ศ. ๒๔๒๑ มีอายุรวมประมาณ ๑๒๕๘-๑๒๗๘ ปี
พระศรีมหาโพธิ์ต้นที่ ๔
ต้นที่ ๔
ยังมีอายุยืนถึงปัจจุบันนี้ สมัยที่อินเดียตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ
ท่านเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม นักโบราณคดีชาวอังกฤษ
เดินทางมาสำรวจพุทธสถานตามลายแทงของพระพระถังซำจั๋งซึ่งได้บันทึกเอาไว้
พอมาเจอสถานที่ตรัสรู้ก็พบเพียงแค่หน่อพระศรีมหาโพธิ์จำนวน ๒ หน่อ
จึงได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ที่งอกขึ้นมาใหม่ ณ ที่แห่งเดิม จำนวน ๒ ต้น
ต้นแรกนั้นสูงประมาณ ๔ นิ้ว ต้นที่สองสูงประมาณ ๖ นิ้ว ท่านคันนิ่งแฮม
จึงได้แยกออกจากกันโดยหน่อที่สูง ๖ นิ้วนั้นปลูกไว้ที่เดิม หน่อที่สูง ๔
นิ้วปลูกอยู่ทางทิศเหนือเยื้องไปทางตะวันออกเล็กน้อย
และก็เจริญเติบโตงอกงามจนถึงปัจจุบันนับอายุได้ ๑๒๗ ปี (พ.ศ.๒๕๔๙) และเป็นที่ทำให้เกิดความศรัทธาปสาทะเป็นยิ่งนัก
๓. พาราณสี : สารนาถสถานที่แสดงปฐมเทศนาครั้งแรก
พาราณสี
เมืองพาราณสีนี้เป็นเมืองที่มีแม่น้ำคงคาไหลผ่านชิดตัวเมืองพอดี
และเป็นแห่งเดียวที่ปรากฏว่า
แม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่คงความศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาศาสนิกชนชาวฮินดูและชาวอินเดียอย่างล้นพ้น
ชีวิตคนตั้งแต่เกิดจนตายจะต้องเกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายนี้ตลอดชั่วอายุ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ชาวฮินดูได้ทิ้งร่างวางขันธ์แล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำสรีระอันไร้วิญญาณมาที่แม่น้ำคงคาเพื่อทำการฌาปนกิจ
ณ
ริมฝั่งแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่าดวงวิญญาณของผู้ตายจักได้ไปสู่สรวงสวรรค์ซึ่งมีองค์มหาเทพศิวะเป็นสักขีพยานให้และนำส่งดวงวิญญาณที่ได้หมดอายุขัยจากโลกมนุษย์
ไปจุติในสรวงสวรรค์
เป็นที่แน่นอนว่าถ้าศพใครได้ถูกทำการเผาที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาย่อมได้ไปเกิดในแดนสวรรค์
เพราะตรงเมืองพาราณสีนี้ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นเมืองของมหาเทพศิวะ (Lord Shiva) นอกจากนี้พิธีกรรมเนื่องในโอกาสอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการเผาศพก็มีอีกมากมาย
เช่น การอาบน้ำชำระล้างบาปที่เคยทำมาให้หมดไปด้วยพระแม่คงคา
ในแต่ละคืนที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาจะมีการบูชาไฟ บูชาพระแม่คงคา
เป็นประจำมิได้ขาดในแต่ละคืน โดยเฉพาะที่ท่า “ทศวะเมศ”
จะมีพิธีกรรมของพวกพราหมณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีพิธีกรรมบูชาครั้งยิ่งใหญ่ประจำปีในเดือน ๑๑
เป็นพิธีอาบน้ำลอยบาปที่ใหญ่ที่สุด มีผู้คนมาเพื่ออาบน้ำจำนวนเป็นแสนเป็นล้านคนเลยทีเดียว
ทั้งนี้เพราะผู้เขียนเคยไปดูมาแล้วทั้งโดนเบียด ทั้งโดนเหยียบ พูดง่ายๆ
ว่าเอาชีวิตรอดมาก็บุญแล้ว ไม่เฉพาะคนที่อยู่ทางฝั่งบนบกเท่านั้น พวกที่มาทางเรือก็มี
แบบว่าทั้งบนฝั่งและในน้ำเต็มไปด้วยผู้คน
โดยเฉพาะพวกที่นับถือศาสนาฮินดูจะมาจากทุกทั่วสารทิศของอินเดียเลยทีเดียว
นอกจากนี้แล้วยังมีพิธีถ่วงศพพรหมจารีซึ่งมีอยู่ ๕ อย่างคือ
๑.
ศพของนักบวชหรือสาธุ (Sadhu)
๒. ศพของเด็กเล็ก
๓.
ศพของสตรีที่ตายท้องกลม (คลอดลูกตาย)
๔.
ศพที่เสียชีวิตเพราะถูกงูกัด และ
๕.
ศพของหญิงสาวพรหมจารี
ในคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูกล่าวไว้ว่า
เพลิงไฟได้ลุกโชติช่วงสว่างไสวไม่เคยดับมาเป็นระยะเวลา ๔,๐๐๐ ปี ก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้
ในแต่ละวันจะมีศพที่ถูกนำมาเผาในแต่ละท่า ประมาณวันละไม่ต่ำกว่า ๗๐-๑๐๐ ศพ หรือประมาณ ปีละ ๓๐,๐๐๐ กว่าศพต่อปี
กองฟืนและเปลวเพลิงได้ลุกโชติช่วงจะมีให้เห็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง
เดินไปตามชุมชนตลาดก็จะเห็นตามหลังคารถยนต์ ตามรถสามล้อถีบ บางคราวก็แบกหามและขณะที่หามศพไปเผานั้นก็จะพากันตะโกนว่า
“ราม นาม สัจจา แฮ” คำนี้เป็นภาษาฮินดี (Hindi)
หมายความว่า “ชื่อของพระรามเท่านั้นเป็นความจริงแท้” ขยายความอีก“ ความตายเท่านั้นเป็นของแท้แน่นอนสำหรับมนุษย์ทุกคน” เปล่งเสียงร้องตลอดทางที่แห่ไปสู่ท่าเผาต่างๆ ณ
ฌาปนสถานริมฝั่งแม่น้ำคงคา
นอกจากนี้แล้วเมืองพาราณสียังเป็นเมืองที่ถูกข้าพเจ้าตั้งฉายาว่า
“เป็นเมืองที่สุดของที่สุด” ดังนี้
เป็นเมืองเก่าแก่มากที่สุด
เป็นเมืองที่มีพระพุทธรูปสวยงามที่สุดในโลก
เป็นเมืองที่มีรูปสิงห์สี่หัวสวยงามที่สุด
เป็นต้นแบบของศาสนาฮินดูที่สืบทอดศิลปวัฒนธรรม
อันเก่าแก่นานที่สุด
เป็นเมืองที่มีชาวฮินดูและฮินดูสถานมากที่สุด
เป็นเมืองที่มีการเคี้ยวหมากมากที่สุด
เป็นเมืองที่มีพระเจ้าเหล่าทวยเทพมากที่สุด
เป็นเมืองที่มีเทศกาลบูชามากที่สุด
เป็นเมืองที่มีผ้าไหมที่มีคุณภาพที่สุด
เป็นเมืองที่มีแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สุดชื่อคงคา
และ
เป็นเมืองของพระโพธิสัตว์มากที่สุดโดยเฉพาะ
สารนาถในสมัยพุทธกาลและหลังพุทธกาล
จะขอกล่าวย้อนกลับไปโดยสังเขปเกี่ยวกับสารนาถว่ามีความเกี่ยวข้องและสำคัญอย่างไรกับพระพุทธองค์
หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้วพระองค์ก็ได้เสวยวิมุติสุขเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ ณ
พุทธคยาแล้ว พระองค์ก็ดำริว่าธรรมที่เราตรัสรู้แล้วจะนำไปเทศนาให้ใครรู้เป็นอันดับต่อไป
ประจวบกับพระองค์ทรงนึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่เคยปรนนิบัติพระองค์ขณะที่ทรงปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์
(ทรมานพระวรกายด้วยวิธีต่างๆ)
จึงตัดสินพระทัยมุ่งไปที่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งอยู่ที่สารนาถ
เมืองพาราณสี
พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปที่สารนาถโดยพระบาทเปล่า
ตามคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าพระองค์ใช้เวลาในการเดินทางจากพุทธคยาถึงสารนาถเป็นระยะเวลา
๑๑ วันจึงถึงสารนาถ (ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน)
พอเสด็จมาถึง ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็มองเห็นพระพุทธองค์[6]จึงประชุมกันว่า “ถ้าพระสมณะโคดมเดินมาถึงเราทั้ง ๕ จักไม่ทำการปฏิสันถารด้วยวิธีการใดๆ
ทั้งนั้น” พอพระพุทธองค์เสด็จมาถึง สนธิสัญญาต่างๆ
เหล่านั้นก็กลับลืมเลือนหายไปจากแนวคิดของทั้ง ๕ ท่านโดยทันที พากันลุกขึ้นต้อนรับ
ปูอาสนะให้ประทับนั่งอย่างดี ปัญจวัคคีย์ถามพระพุทธองค์อย่างคำพูดไม่สุภาพว่า “ท่านอาวุโสเป็นผู้ละความเพียรเสียแล้วท่านจะตรัสรู้ได้อย่างไร” พระองค์ทรงตรัสตอบว่า “ปัญจวัคคีย์เราได้ตรัสรู้แล้ว”
ปัญจวัคคีย์ก็ไม่เชื่อพระองค์
พระองค์จึงตรัสอีกว่า “คำพูดอย่างนี้ท่านเคยได้ยินเราพูดหรือเปล่า
มาเถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง” ปัญจวัคคีย์เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายจึงหันมาพร้อมกัน
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรให้ฟัง ไม่นานนัก โกณฑัญญะพราหมณ์
ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมโดยจับใจความได้ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมด ย่อมมีความดับเป็นธรรมดา”
ด้วยพระญาณของพระพุทธเจ้าทรงรู้โดยทันทีว่า
โกณฑัญญะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยพระองค์ตรัสว่า “อัญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ” แปลว่า“
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ” เพื่อเป็นการประกาศว่าพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นของจริง
ไม่ใช่ของเทียม ใครปฏิบัติย่อมได้รับผลเป็นแน่แท้
พระอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา
วันนี้นี่เองเป็นวันที่พระรัตนตรัย[7]ครบ ๓ อย่างพอดี ครั้งพุทธกาลเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน” อยู่ในเขตของแคว้นกาสี
สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นที่อุบัติขึ้นของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาที่นี่
ใจความสำคัญของพระธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร
พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมเทศนากัณฑ์แรก เรียกว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์คือที่สุด
๒ อย่าง
เป็นทางที่นักบวชหรือบรรพชิตไม่ควรนำมาเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ ได้แก่
๑.กามสุขัลลิกานุโยค หมายถึงการปฏิบัติที่หย่อนยานปฏิบัติเหมือนชาวบ้านธรรมดา
๒.อัตตกิลมัตถานุโยค หมายถึงการทรมานตนให้ได้รับความลำบากด้วยวิธีการต่างๆ
๓.มัชฌิมาปฏิปทา หมายถึงการปฏิบัติให้ถูกต้องพอเหมาะพอควร
อันได้แก่อริยมรรค ๘ ประการนั่นเอง
ทั้ง
๒ ข้อแรกนั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ มิใช่ทางแห่งพระอริยเจ้า พระองค์ให้ปฏิบัติในข้อที่
๓ ประการสุดท้าย คือ ทางสายกลาง (The
Eightfold Path or Atthangika-Magga) เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
โดยเฉพาะอริยมรรคข้อที่ ๑ สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง
การเห็นในที่นี้หมายถึงเห็นอริยสัจ ๔ ประการ มีทุกข์, สมุทัย,
นิโรธ และมรรค เป็นต้น
ภายหลังที่พระพุทธองค์ปรินิพพานเป็นระยะเวลากว่า
๒ ศตวรรษ ไม่มีการขุดค้นพุทธสถานที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาเลย จนล่วงมาถึงสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
สารนาถจึงเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย พระพุทธศาสนาก็ได้รับการทำนุบำรุงจากพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
และมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเป็นจำนวนมากตามวัดวาอาราม
และก็มีหลายครั้งหลายคราวที่สารนาถแห่งนี้ได้ถูกทำลายโดยศาสนาอื่นๆ
และมีความเสื่อมโทรมลง
ในยุคของพระเจ้า
“ชคัทสิงห์” โอรสของพระเจ้าเฉทสิงห์
กษัตริย์แห่งเมืองพาราณสี[8] มีความต้องการวัสดุเพื่อสร้างบ้านเมืองให้เจริญ
จึงได้ทำการรื้อถอนธรรมราชิกสถูปที่สวยงามลงมา ขณะที่รื้อก้อนอิฐลงมาประมาณ ๘
เมตรเศษนั้น ได้พบหีบศิลาทรงกลมใบใหญ่พร้อมผอบ(กล่อง)หินสีเขียวอ่อนบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไข่มุก แผ่นทองคำ
และเพชรนิลจินดาไว้ภายในด้วย การกระทำของพวกนี้อาจจะไม่ค่อยได้ถูกเปิดเผยมากนัก พระเจ้าชคัทสิงห์จึงให้นำพระบรมสารีริกธาตุไปลอยทิ้งเสียยังแม่น้ำคงคา
สถูปที่พระเจ้าชคัทสิงห์รื้อนี้คือ “ธัมมราชิกสถูป” เป็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงแสดง “อนัตตลักขณสูตร”
ทำให้ปัญจวัคคีภิกษุได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
สาเหตุที่ได้ชื่อว่าสารนาถนั้นเพราะหมายถึง
“ที่พึ่งอันประเสริฐสุดของมวลมนุษย์ชาติ (Mankind)” อยู่ในบริเวณของป่าอิสิปตนมฤคทายวันเดิม
ลักษณะขององค์ธัมเมกขสถูปนั้น เป็นทรงบาตรคว่ำ มียอดทรงกรวย วัดโดยรอบฐานประมาณ
๑๒๐ ฟิต สูงประมาณ ๘๐ ฟิต มีชื่อเรียกว่า “ธัมเมกขสถูป” หมายถึงสถานที่แสดงธรรมที่นำให้ถึงความหลุดพ้น
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร จึงเป็นธรรมะที่ชาวพุทธและชาวต่างชาติต่างศาสนาสนใจเป็นอย่างยิ่ง
บางประเทศได้เปิดทำการเรียนการสอนเป็นหลักสูตรเลยทีเดียว
โดยเฉพาะชาวทวีปยุโรปมีการศึกษาค้นคว้ากันอย่างจริงจังเพราะเนื่องจากว่าเป็นธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงครั้งแรกนั้นเอง
และอาจกล่าวได้ว่า “ธัมมจักรฯ” เป็นหัวใจอีกดวงหรือหลักคำสอนที่สำคัญของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
สารนาถ : ในปัจจุบัน
นักโบราณคดีชาวอังกฤษนามว่า
“พันเอก แมคแคนซี” ได้ทำการสำรวจบริเวณสารนาถครั้งแรก ประมาณ พ.ศ.
๒๓๕๗ ต่อมาท่าน “เซอร์ คันนิ่งแฮม” ได้ทำการขุดค้นอย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อประมาณ พ.ศ.
๒๓๗๗
ท่านได้เปิดธัมเมกขสถูปได้พบแผ่นศิลาจารึกคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจ
ศิลปะวัฒนธรรมอันประณีต ภาพแกะสลักที่สวยงาม ฯลฯ เป็นต้น รัฐบาลอังกฤษ (สมัยที่อังกฤษปกครองอินเดีย) ให้นำเอาเศษอิฐ หิน
ทราย ไปก่อสร้างตึก อาคาร บ้านเรือน เช่น สร้างตึกควีนส์คอลเลจ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยสันสกฤต) สะพานดันดันข้ามแม่น้ำวรุณ
ตึกสถานีรถไฟเมืองพาราณสี และนำเอาประติมากรรมประเภทต่างๆ ที่ขุดค้นได้ มาวางเป็นรากฐานเขื่อนกั้นน้ำถึง ๔๐ กว่าแห่ง
ต่อมาก็ได้มีการขุดค้นบูรณปฏิสังขรณ์อยู่เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เนื่องจากว่าอาณาเขตบริเวณของสารนาถนั้นมีความกว้างใหญ่ไพศาลมาก
ภายในนั้นมีโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์และอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายมากมายหลายสิ่ง
ซึ่งจะขอนำมาเสนอแนะเฉพาะสถานที่สำคัญเท่านั้น เพื่อเป็นการศึกษาพอสังเขปเป็นเบื้องต้นก่อน
ดังต่อไปนี้
๑.
พระมูลคันธกุฎี : กุฏิของพระพุทธองค์สร้างในสมัยเมารยะ
|
๒.
ธัมมราชิกสถูป : สถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
(ที่แสดงอนัตตลักขณสูตร)
|
๓.
เสาพระเจ้าอโศกมหาราช : สร้างไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่สำคัญของพระพุทธศาสนา
(ถูกทำลายหักออกเป็น ๕ ท่อน แต่หัวเสาที่เป็นรูปสิงห์ ๔
หัวนั้นไม่โดนทำลายเลย และถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สารนาถ
ต่อมาถูกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ของประเทศอินเดีย)
|
๔.ธัมเมกขสถูป : เป็นองค์เดิมของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ทรงสร้างเอาไว้เพื่อเป็นพุทธบูชา
|
๕.
พระวิหารรูปครึ่งวงกลม : สร้างในสมัยเมารยะ
|
๖.
ธัมมจักรชินวิหาร : พระนางกุมารเทวีสร้างถวาย
|
๗.
สถานที่ยสะกุลบุตรออกบวช: “ที่นี่วุ่นวายหนอ
ที่นี่ขัดข้องหนอ” เป็นคำพูดของท่านยสะซึ่งเป็นบุตรของนางสุชาดาที่ได้ถวายข้าวมธุปายาสแด่เจ้าชายสิทธัตถะก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต่อมาท่านยสะก็ได้ออกบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์
|
ยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่งที่ค้นพบ
ซึ่งได้แบ่งเอาไว้เป็นช่องๆ โดยมีหมายเลขกำกับเอาไว้
แต่ที่นำมาเสนอในที่นี้ก็เพียงเพื่อแนะนำสถานที่เด่นชัดเท่านั้น ณ
ที่สารนาถแห่งนี้ยังมีพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาอีกด้วย เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในโลก
ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์สารนาถ สามารถที่จะเข้าชมได้
ทางกรมโบราณคดีของอินเดียยังได้สร้างป่าอิสิปตนมฤคทยาวัน คือสวนกวาง (จำลอง) ไว้ทางด้านทิศตะวันออกขององค์ธัมเมกขสถูป
เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานว่าสวนแห่งนี้ยังคงมีอยู่
๔. บทสรุป
เมื่อพระพุทธศาสนาถูกทำลายหายไปจากอินเดีย
ทั้งสถานที่ตรัสรู้ (พุทธคยา) และสถานที่ประกาศธรรมครั้งแรก (สารนาถ) ได้ผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายมาเยอะแยะ
มีทั้งความเจริญและความเสื่อม ดังนั้น เพื่อให้เห็นกันง่ายๆ
จึงได้นำมาเสนอเฉพาะประวัติความเป็นมาและสถานที่สำคัญทั้งสองแห่งนี้เท่านั้น
คงพอทุเลาความสงสัยอันเกิดขึ้นในใจลงได้บ้าง
ถ้าอยากให้ดีก็ควรจะมาสักการะด้วยตัวท่านเอง และเดินทางไปกราบไหว้ให้ครบทั้งสี่แห่ง
ยิ่งจะยังความศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ท่านผู้อ่านยิ่งๆ ขึ้นไปอีกระดับ
๕. เอกสารอ้างอิง
กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย. ภารตวิทยา(พิมพ์ครั้งที่ ๕ ฉบับปรับปรุงใหม่), กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2547
ชิว ซูหลุน.
ถังซำจั๋ง
จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง (พิมพ์ครั้งที่
๒), กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๙
ไต้ ตามทาง (เสถียรพงษ์ วรรณปก), สู่แดนพุทธภูมิ,
กรุงเทพฯ: ธรรมสภา, 2546
ทองหล่อ วงษ์ธรรมา,ร.ศ.ดร. ปรัชญาอินเดีย.
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.
ธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต),พระ. จาริกบุญ-จารึกธรรม,
กรุงเทพฯ: บริษัทสหธรรมิก จำกัด, ๒๕๓๙
ประภาส ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์), พระมหา. อินเดีย:พุทธสถานต้นธารแห่งศรัทธา.
กรุงเทพฯ: บริษัท สำนักพิมพ์สุภา จำกัด,
๒๕๕๐.
________________________________.
มองพุทธให้เข้าใจใน ๕ นาที. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ธิงค์ บียอนด์, ๒๕๕๓.
วศิน อินทสระ, พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน, กรุงเทพฯ, บริษัทศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์
จำกัด:
กรุงเทพฯ,
๒๕๔๗
เสถียร พันธรังษี, ศาสตราจารย์พิเศษ. พุทธสถานในชมพูทวีป, กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙
สุนทร ณ รังษี,ดร. ปรัชญาอินเดีย,
กรุงเทพฯ: บริษัทบพิธการพิมพ์
จำกัด, ๒๕๒๑
หลวงวิจิตรวาทการ,พลตรี. ของดีในอินเดีย.
กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์, ๒๕๔๔
[1]
อริยมรรคหรือมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ ๑.สัมมาทิฏฐิ:
ความเห็นอันถูกต้อง ๒.สัมมาสังกัปปะ: ความคิดอันถูกต้อง ๓.สัมมาวาจา: การพูดไพเราะมีสัจจะ ๔.สัมมากัมมันตะ: ประกอบการงานที่สุจริต ๕.สัมมาอาชีวะ: เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้อง ๖.สัมมาวายามะ: เพียรพยายามในทางที่ชอบ ๗.สัมมาสติ: ระลึกชอบ และ๘.สัมมาสมาธิ : การตั้งใจปฏิบัติที่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม
[3]
ในราตรีแรกทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (การหยั่งรู้อดีตชาติกาลก่อน) ในวาระที่สองทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ
(หยั่งรู้การเกิดการดับของสัตว์ทั้งหลาย) และวาระที่สามทรงบรรลุอาสวักขยญาณ (ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองที่หมักหมมอยู่ในจิตสันดาน)
[4]
ปีพุทธศักราช ๒๕๑๙
คณะกรรมการองค์พระเจดีย์ได้ขอร้องให้พระธรรมวีรานุวัตร (บุญเลิศ
ทตฺตสุทฺธิ) อดีตเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา
และหัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย (ในสมัยนั้น) ในนามชาวไทยพุทธได้บูรณะชั้นบนองค์พระเจดีย์ (สร้างเป็นห้องไทย)
และได้สร้างกำแพงแก้วล้อมรอบองค์พระมหาเจดีย์รวมถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ด้วย
พร้อมทั้งได้สร้างซุ้มประตูทางเข้าเป็นศิลปะสมัยแบบพระเจ้าอโศกมหาราช จำนวน ๒
ซุ้ม
อีกทั้งยังได้ติดไฟแสงจันทร์ให้ความสว่างไสวแก่องค์พระมหาเจดีย์ตราบเท่าทุกวันนี้
[5] ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างพระแท่นวชิรอาสน์จำลองโดยนำหินทรายมาทำแทนหญ้ากุสะ แกะสลักพื้นที่ประทับเป็นลายหัวเพชรเจียรไน
ของฐานเป็นรูปห่านและหงส์
ซึ่งหมายความว่าเป็นสัตว์ที่ไม่จมน้ำเปรียบเสมือนพระพุทธองค์ทรงพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงไม่ติดอยู่ในห้วงอาสวะใดๆในโลกแผ่นหินทรายมีความยาว
ประมาณ ๗.๖ นิ้ว กว้างประมาณ ๔.๑๐
นิ้ว หนา ๕.๕ นิ้ว
[6]
ตรงที่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
มองเห็นพระพุทธองค์ เรียกว่า “เจาคัณฑีสถูป” สูงประมาณ ๘๔ ฟิต ส่วนที่เป็นปล่องรูป ๘ เหลี่ยม (ด้านบนนั้นเป็นของมุสลิม โดยอัคบาร์มหาราชสร้างไว้เมื่อพ.ศ. ๒๑๓๑ เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่บิดานามว่า “หุมายุน” ผู้เคยเสด็จหนีข้าศึกมาอาศัยอยู่กับพระสงฆ์)
เจาคัณฑีสถูปนี้สร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพระปัญจวัคคีย์ทั้ง
๕ พบพระพุทธองค์ ณ ที่แห่งนี้
[8] “พระเจ้าพรหมทัต” ปัจจุบันนี้เมืองพาราณสี กษัตริย์หมดอำนาจลงแล้ว
พระราชาองค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าวิภูติ นารายณ์ ซิงห์”