วิธีคิดแบบพุทธตรรกวิทยาสู่แนวคิดที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

วิธีคิดแบบพุทธตรรกวิทยาสู่แนวคิดที่ถูกต้อง

พระมหาประภาส ปริชาโน,ดร.
สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
บทนำ
ตรรกศาสตร์เป็นวิชาการแขนงหนึ่ง ย่อมมีส่วนเสริมสร้างอารยธรรมของมนุษย์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  คณิตศาสตร์พัฒนามาจากการคิดแบบอาศัยข้อแน่ใจของตรรกศาสตร์ และมีประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับมนุษยชาติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกัน วิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นมาก็โดยการคิดแบบอาศัยประสบการณ์ของตรรกศาสตร์ มนุษย์ต่างได้รับประโยชน์จากวิทยาศาสตร์กันทั่วหน้า แม้อีกด้านหนึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะก่อผลเสียหายแก่มนุษย์ แต่ไม่ได้มาจากวิทยาศาสตร์โดยตรง แต่มาจากน้ำมือมนุษย์ที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างไม่ถูกต้อง แม้การพ้นทุกข์จะมีไม่ได้ด้วยวิธีการของตรรกศาสตร์ แต่มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อการพ้นทุกข์กันทั้งหมด วิชาการแขนงต่างๆ ที่ศึกษากันปัจจุบันล้วนไม่ได้นำไปสู่การพ้นทุกข์ในความหมายของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด แต่เราก็ยังต้องศึกษา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวมนุษย์เอง คงจะมีแต่ผู้ปฏิเสธ กิจกรรมทางโลกเท่านั้น ที่ไม่ต้องศึกษาอะไรเลยนอกจากคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ แต่หากยังเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางโลก ความรู้ในวิชาการแขนงต่างๆ ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งตรรกศาสตร์ด้วย
พระพุทธศาสนากับตรรกศาสตร์

ตรรกศาสตร์ หรือ ตรรกวิทยา เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญา ทำให้ผู้ศึกษามีเหตุผลดียิ่งขึ้นถ้าหากได้ศึกษาอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง นั่นคือจะไม่เชื่อหรือตัดสินใจเชื่ออะไรง่ายๆ ว่าอย่างไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง อย่างไรไม่ควรอย่างไรควร เพราะบางสิ่งแม้ถูกต้องจริงแต่ไม่ควร ในทางตรงกันข้ามบางสิ่งควรจริง แต่ไม่ถูกต้อง ผู้ศึกษาวิทยาแล้วจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ทั้งพระพุทธศาสนาและตรรกศาสตร์ต่างเกี่ยวข้องกับความจริงที่มนุษย์ควรแสวงหาพระพุทธศาสนาเห็นว่าชีวิตมีทุกข์ การขจัดความทุกข์ได้คือนิพพาน นั่นคือการบรรลุความจริงสูงสุดของมนุษย์ ส่วนตรรกศาสตร์เป็นเครื่องมือของญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิชาปรัชญา ทำหน้าที่วางระเบียบวิธีคิดเพื่อเข้าใจความจริง ในการเกี่ยวข้องกับความจริงพระพุทธศาสนาและตรรกศาสตร์ต่างให้ความสำคัญกับความคิดทั้งคู่ แต่พระพุทธศาสนาจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่คิดมากกว่าระเบียบวิธีคิดเช่นที่ตรรกศาสตร์ให้ความสนใจ  ในที่นี้จะกล่าวถึงลักษณะการให้ความสำคัญต่อความคิดของพระพุทธศาสนากับตรรกศาสตร์  วิธีการของตรรกศาสตร์จะใช้ได้กับการเข้าถึงความจริงของพระพุทธศาสนาหรือไม่ ประโยชน์ทางวิชาการของตรรกศาสตร์  และเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างกันระหว่างพระพุทธศาสนากับตรรกศาสตร์
วิธีคิดตามหลักพุทธวิธี ๑๐ ประการ
ในปัจจุบันได้มีการนำหลักโยนิโสมนสิการมาเรียบเรียงเป็นวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการได้ ๑๐ วิธี ดังนี้
                 ๑. วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุผล เป็นการสืบหาสาเหตุของสิ่ง (ผล) ที่เกิดขึ้น เมื่อได้เหตุแล้ว ก็หาสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุ (ผล) นั้นต่อไป จนได้ความสัมพันธ์ของเหตุและผลโดยสมบูรณ์
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการทดลองและอภิปรายกลุ่ม
                 ๒. วิธีคิดแบบแยกส่วนประกอบ มุ่งพิจารณาเรื่องต่างๆตามความเป็นจริง เพื่อให้รู้ว่าเรื่องนั้นๆ มีองค์ประกอบย่อยอะไรบ้าง ประกอบกันขึ้นมาได้อย่างไร
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อค้นหา คิดวิเคราะห์
                 ๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์หรือไตรลักษณ์ เป็นการคิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆตามกฎไตรลักษณ์ คือ ทุกข์ (ความไม่อาจคงสภาพอยู่อย่างเดิมได้) อนิจจัง (ความเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่) อนัตตา (ความไม่เป็นตัวตน ไม่ใช่ตัวตน)
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อยอมรับ คิดวิพากษ์
                 ๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ/คิดแบบแก้ปัญหา เป็นการคิดแบบสืบสาวจากผลไปหาเหตุ แล้วพิจารณาวิธีการแก้ไขที่เหตุ ซึ่งมักเริ่มด้วยการกำหนดปัญหา (ทุกข์) ทำความเข้าใจกับปัญหา สืบหาสาเหตุเพื่อเตรียมแก้ไข (สมุทัย) ในขณะเดียวกันก็กำหนดเป้าหมายให้แน่ชัด พร้อมกันนั้นจึงคิดวิธีปฏิบัติที่จะกำจัดสาเหตุของปัญหา (มรรค) และดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางที่วางไว้ (นิโรธ)
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อแก้ปัญหา
                 ๕. วิธีคิดแบบอรรถสัมพันธ์ เป็นการคิดตามหลักการ มุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่างหลักการกับความมุ่งหมาย/วิธีการ เมื่อวิเคราะห์จนรู้สภาพของปัญหาแล้ว จึงพิจารณาจุดหมายที่ต้องการและวิธีการที่จะตอบสนองจุดหมายนั้น จนนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง (ธรรมานุธรรมปฏิบัติ)
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อสร้างวิธีการ คิดสังเคราะห์ คิดอนาคต
     ๖. วิธีคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก เป็นการคิดโดยมองความจริง ยอมรับความจริงตามสิ่งที่เป็นอยู่ เพื่อให้รู้คุณโทษ ข้อดีข้อเสียทุกด้าน แล้วจึงคิดหาทางออกของปัญหา เลือกหนทางที่ดีที่สุดของปัญหาในกรณีต่างๆ แล้วจึงนำไปปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อเลือกแนวทาง คิดเปรียบเทียบ คิดเชิงกลยุทธ์
                 ๗. วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม เป็นการคิดที่สกัดหรือบรรเทาตัณหาของมนุษย์ โดยพิจารณาด้วย "สติ" และ "ปัญญา" แยกแยะให้ได้ว่าสิ่งนั้นๆ มี"คุณค่าแท้" หรือ "คุณค่าเทียม"
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อประเมินคุณค่า คิดลึกซึ้ง คิดประยุกต์
                 ๘. วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม เป็นการคิดที่ใช้หลักการที่ว่า "บุคคลเมื่อประสบอารมณ์หรือรับรู้สิ่งใดก็ตาม แม้เป็นของอย่างเดียวกัน แต่การมองเห็นและนึกคิดอาจปรุงแต่งไปคนละอย่างตามโครงสร้างของจิตใจ"
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดอย่างสร้างสรรค์
                 ๙. วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน เป็นการคิดในแนวทางของความรู้ ภายใต้อำนาจของปัญญา ไม่ตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์ พิจารณา "ความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์" ไม่อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรืออารมณ์ชอบใจ ไม่ชอบใจ ยึดสัมมาสติ เป็นสำคัญ
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อการไม่ยึดติด คิดอย่างมีวิจารณญาณ
                 ๑๐.วิธีคิดแบบวิภัชชวาท (วิภัชชวาท ไม่ใช่วิธีคิดโดยตรง แต่เป็นวิธีพูด แต่การคิดและพูดเป็นกรรมที่ใกล้กันมากที่สุด เพราะสิ่งที่พูดล้วนมาจากการคิด) โดย วิภัชชวาท มาจาก ๒ คำ คือ "วิภัชช" แปลว่า แยกแยะ จำแนก  และ "วาท" แปลว่า การพูด การกล่าว ซึ่งเราอาจให้ความหมายของวิภัชชวาท ได้เป็น การพูดแจกแจง จำแนก แยกแยะ ด้วยการมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละด้านของสิ่งนั้นๆครบทุกแง่มุม
ในชีวิตประจำวัน มักใช้ในการคิดเพื่อระดมสมอง คิดละเอียด
เปรียบเทียบวิธีคิดแบบพระพุทธศาสนาและตรรกศาสตร์
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คิด ส่วนตรรกศาสตร์จะเกี่ยวข้องกับระเบียบวิธีคิด พระพุทธศาสนาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า การคิดแบบตรรกศาสตร์ไม่สามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้น จึงดูเหมือนว่าทั้ง ๒ ศาสตร์ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่าในความแตกต่างยังมีความเหมือนกันอยู่ด้วยในบางประเด็น ซึ่งจะขอกล่าวดังนี้
พระพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธว่ามนุษย์ไม่คิดแบบตรรกศาสตร์ เพียงแต่กล่าวว่า การพ้นทุกข์ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีการทางตรรกศาสตร์ ทั้งพระอริยบุคคล (ผู้ประเสริฐ กล่าวคือ พ้นจากทุกข์ในระดับที่แตกต่างกันจนถึงระดับหมดทุกข์คือพระอรหันต์) และปุถุชนต่างก็คิดแบบตรรกศาสตร์ด้วยกันทั้งหมด กล่าวคือ บางครั้งใช้ข้อแน่ใจและบางครั้งใช้ประสบการณ์เป็นฐานการคิดเช่นกัน เพราะการคิดทั้ง ๒ แบบเป็นธรรมชาติหรือปกติวิสัยของมนุษย์ทุกคน เพียงแต่อาจจะแตกต่างในสิ่งที่คิดดังกล่าวมาแล้ว พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้พระองค์ได้ใช้วิธีคิดทั้ง ๒  แบบของตรรกศาสตร์เช่นกัน การที่พระองค์มีประสบการณ์กับบุคคลรอบข้าง เช่น เห็นชีวิตที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ และพระองค์สรุปเป็นนัยทั่วไป (Generalization) ว่า ทุกคนมีทุกข์ซึ่งเมื่อนำเข้ารูปแบบการอ้างเหตุผลแบบตรรกศาสตร์อุปนัยแล้วจะเป็นแบบนี้
คนที่เกิด  เป็น  ทุกข์
คนที่แก่  เป็น  ทุกข์
คนที่เจ็บ  เป็น  ทุกข์
คนที่ตาย  เป็น  ทุกข์
ฉะนั้น  ทุกชีวิตมีทุกข์
อาศัยข้อสรุป ทุกชีวิตมีทุกข์เป็นข้อแน่ใจ เมื่อพระองค์นำมาอุปมาเปรียบเทียบกับพระองค์เอง  ก็ย่อมได้ข้อสรุปว่า พระองค์มีทุกข์เช่นกันเมื่อนำเข้ารูปแบบการอ้างเหตุผลแบบตรรกศาสตร์นิรนัยแล้วจะเป็นดังนี้
ทุกชีวิตมีทุกข์
เรา  (เจ้าชายสิทธัตถะมีชีวิต
ฉะนั้น  เรามีทุกข์เช่นกัน
เมื่อพระองค์ได้ข้อสรุป เรามีทุกข์เช่นกันพระองค์จึงทรงขวนขวายเพื่อดับทุกข์ จนกระทั่งทรงค้นพบอริยสัจ ๔ และดับทุกข์ได้เป็นบุคคลแรก และการค้นพบนี้แม้จะเริ่มต้นด้วยการคิดแบบตรรกศาสตร์ แต่การพ้นทุกข์จริงๆ เป็นการค้นพบด้วย ญาณไม่ใช่ด้วยการคิดแบบตรรกศาสตร์
แม้ภายหลังตรัสรู้แล้ว  วิธีสอนของพระองค์ก็ดำเนินไปตามปกติด้วยวิธีคิดแบบตรรกศาสตร์ คือใช้ทั้งข้อแน่ใจและประสบการณ์ประกอบเพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจคำสอนของพระองค์ ฉะนั้น หากใครจะบอกว่าพระพุทธศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับตรรกศาสตร์เลยย่อมไม่ถูกต้องแน่
บทสรุป
เนื้อหาในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา แม้จะไม่ได้กล่าวถึงวิชาตรรกวิทยาโดยตรง แต่มีเนื้อหาหลายตอนที่มีนัยเชิงตรรกะ ถ้ามีการวิเคราะห์แล้วจัดระบบออกมา จะเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น แต่นักปราชญ์ฝ่ายพระพุทธศาสนาเถรวาทหลายท่านก็ไม่นิยมที่จะให้ทำอย่างที่ว่านี้ เพราะอาจทำให้เกิดความไขว้เขวในหลักพุทธธรรมได้ สมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นยอดแห่งนักตรรกวิทยาโดยไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระเถระที่มีชื่อเสียงทางด้านตรรกวิทยาคือท่านพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ผู้เป็นปูชนียบุคคลในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากนั้นมา ท่านพระนาคเสนผู้สนทนาธรรมโต้ตอบกับพระยามิลินท์ นับได้ว่าเป็นยอดแห่งนักตรรกวิทยาที่หาใครเทียบได้ยาก แต่วิชานี้ถ้าคนที่นำมาใช้มีอัธยาศัยจิตใจที่เป็นอกุศล ย่อมก่อให้ความเสียหายผิดพลาดได้มาก
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ฟังใครบางคนอธิบายความชี้แจงเหตุผลบางเรื่อง จึงไม่ควรเชื่อเพราะเห็นว่าเป็นเหตุผลที่ดี แต่ควรใช้สามัญสำนึกเทียบเคียงดูกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ พิจารณาโดยถ้วนถี่แล้วจึงค่อยเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่ควรด่วนสรุป สิ่งที่ทำลายความรู้สึกของสังคมมากที่สุดในทุกยุคทุกสมัยก็คือ คำพูดของคนที่ด่วนสรุปปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

บรรณานุกรม
พระไตรปิฎกแปลเป็นไทย ฉบับสังคายนา. เล่มที่ ๑๐, ๑๓, ๒๐ และ ๒๕. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา.๒๕๓๐
จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี.(ผู้แปล) วิวัฒนาการแห่งความคิด:ภาคมนุษย์และโลก. กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๗
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ:คณะระดมธรรม. ๒๕๒๕
บุญมี แท่นแก้ว. ตรรกวิทยาทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ โอเดียนสโตร์. ๒๕๓๖
ปานทิพย์ ศุภนคร และคณะ.ปรัชญาเบื้องต้น.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๓
ทองหล่อ วงษ์ธรรมมา. ปรัชญาอินเดีย. กรุงเทพมหานคร:โอเอสปริ้นติ้งเฮาส์, ๒๕๓๕
ปรีชา ช้างขวัญยืน, การใช้เหตุผล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิชาการ, ๒๕๒๔
พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญฺโญ,ดร. สืบค้นตรรกวิทยาในคัมภีร์และวรรณกรรมพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘
วิทยา ศักยาภินันท์,ผศ.ดร. ตรรกศาสตร์ : ศาสตร์แห่งการใช้เหตุผล. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ๒๕๔๘

ไม่มีความคิดเห็น:

วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ Journal of Buddhist philosophy evolved

เปรียบเทียบธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญากับปรัชญาของอริสโตเติล COMPARING HUMAN NATURE TO BUDDHIST PHILOSOPHY AND ARISTOTLE'S PHILOS...