พุทธวิธีบำบัดโรคด้วยธรรมโอสถสู่การรักษาสุขภาพที่ดี
The therapist with the Buddhist
Dharma into good health dispensary
พระมหาประภาส
ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์)
พระราชปริยัติวิมล
(ศรีสุระ)
สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
บทคัดย่อ
ทัศนะเรื่องความเจ็บป่วย
ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ประการหนึ่งว่า “ร่างกายเป็น รังแห่งโรค” การที่ร่างกายเป็นฐาน หรือที่ตั้งแห่งโรค ย่อมจะเจ็บป่วยอย่างใด อย่างหนึ่งไม่มากก็น้อยเป็นธรรมดา
อีกคำหนึ่ง คือ คำว่า “อโรคฺย” ไม่มีโรค
ดังพุทธภาษิตว่า “อาโรคฺยา ปรมา ลาภา” แปลว่า
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คำว่า
อโรคฺย อีกนัยหนึ่งหมายถึง ภาวการณ์ปราศจากโรคทางจิตเพียงอย่างเดียว
ดังพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ที่ปราศจากโรคทางกายเป็นเวลานานๆ
หรือไม่มีโรคทางกายปรากฏอยู่เลยนั้น พอหาได้ แต่คนที่ไม่มีโรคทางใจ แม้เพียงชั่วขณะหนึ่งนี้
หายาก ยกเว้นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วเท่านั้น
ในบทความนี้จึงกล่าวถึงพุทธวิธีบำบัดโรคทั้งสองส่วน
แต่จะเน้นโรคทางใจเป็นสำคัญเพราะใจเป็นนายกายเป็นบ่าว สุขภาพใจดี
ย่อมส่งผลดีต่อกายและวาจาด้วย
คำสำคัญ: พุทธวิธีบำบัดโรค, ธรรมโอสถ, การรักษาสุขภาพ
Abstract
Perceived
Illness The
Buddha described one as "the body is a nest of disease," the body as
a base. Or
location of disease It
would be ill A
more or less common, is another word for “Arogaya” and there is no disease that
proverbs. "Arogaya
parama Laba" means that the disease is no good fortune that zoos mosques
and other words mean. Situation
without mental disorder alone. The Buddha said that Those
without physical disease for a long time. Or no physical presence is not
enough, however, for people without heart disease. Even
if only for a while, but this is rare saint who put passion only. In
this article, I discussed how Buddhist therapist both. It
will focus on diseases of the mind because the mind is as important as a
healthy body is a slave indeed benign impact on physical and verbal.
Keywords: Buddhist
therapist, fair Dispensary, Healthy living
บทนำ
พระพุทธเจ้า ตรัสถึงความสำคัญของการมีสุขภาพร่างกายดี
ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่ การบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง
หากร่างกายเจ็บป่วย ไม่อาจเยียวยาได้แล้ว พระองค์จะทรงมุ่งเน้นการเยียวยา ทางด้านจิตใจเป็นหลัก
ดังเรื่องที่ปรากฏว่า ครั้งหนึ่งมี ภิกษุทุพพลภาพป่วยหนัก ระยะสุดท้าย
พระพุทธเจ้าทรงเยียวยารักษาด้านจิตใจ ทรงมีพระดำรัสว่า “แม้ร่างกายจะเจ็บหนัก
แต่ยังสามารถพัฒนาให้ไปสู่การบรรลุธรรมได้”
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อธิบายว่า “สุขภาวะ” หรือ “สุขภาพ”
เป็นคำเดียวกันในภาษาบาลี แต่ภาษาไทยแผลง “ว”
เป็น “พ” เป็นคำว่า “สุขภาพ” เมื่อความหมายของสุขภาพคือสุขภาพทางกาย จิต
สังคม และปัญญา จึงสื่อความหมายใกล้ความสุข ภาวะที่ปลอดทุกข์ เป็นสุข
เป็นภาวะที่สมบูรณ์ คำสมัยใหม่เรียกว่า “องค์รวม” ความสุขแนวพุทธ หรือสุขภาพแนวพุทธ ประกอบด้วยลักษณะที่เป็นวิชชา
(ความสว่างผ่องใส) วิมุตติ (ความหลุดพ้นเป็นอิสระ) วิสุทธิ (ความหมดจด
ไม่ขุ่นมัวเศร้าหมอง) สันติ (ความสงบไม่ร้อนรนกระวนกระวาย)
ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นความดีงามของชีวิต
นับเป็นเวลาประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก
(World Health Organization) ซึ่งเรียกโดยย่อว่า WHO ได้ให้บทนิยามของคำว่า “สุขภาพ” ไว้ว่า “สุขภาพ คือ ความสุขที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย
จิตใจ และสังคม ไม่เพียงแต่ความปราศจากโรค หรือทุพพลภาพเท่านั้น” ความหมายของคำว่า สุขภาพดังกล่าวนี้ ใช้กันแพร่หลายทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวงการแพทย์และสาธารณสุข ต่อมาผู้เชี่ยวชาญของ องค์การอนามัยโลกหลายคน
มีความเห็นว่า บทนิยามที่ได้ให้ไว้ยังขาดความสมบูรณ์
น่าจะมีการเพิ่มองค์ประกอบทางจิตวิญญาณเข้าไปด้วย ดังนั้นคำจำกัดความของ สุขภาพขององค์การอนามัยโลก
คำว่า “สุขภาพ” หรือ Health จึงหมายถึง สุขภาวะที่สมบูรณ์ ใช้คำว่า “Complete Well-being” ทางกาย (Physical) ทางจิต (Mental) ทางสังคม (Social) และทางจิตวิญญาณ (Spiritual)
ฉะนั้นคำจำกัดความดังกล่าว เป็นคำนิยามที่ลึกที่สุดกว้างที่สุด
ครอบคลุมทุกอย่างทั้ง ทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ
สุขภาพจึงไม่ใช่เรื่องโรค เรื่องโรงพยาบาล หรือเรื่องยาเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องที่ครอบคลุมไปทั้งหมด
สุขภาวะ เป็นการดูแลรักษา การป้องกัน
และการเยียวยา ทั้งทางด้าน ร่างกาย สังคม และจิตใจ มนุษย์ทุกคนจำต้องปฏิบัติ ประยุกต์ใช้หลักธรรมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการดูแล
การป้องกันและการเยียวยา ชีวิต โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ การส่งเสริมกำลังใจ ให้ผู้ป่วยหนัก
มีความหวังที่จะดูแลรักษาใจ ซึ่งถือว่าสำคัญที่สุด เพื่อผู้ป่วยสามารถประคองจิต ที่ดีของตนได้ตลอดไป
จนกว่าจะสิ้นชีวิต หรือหากประคองจิตได้ถึงขั้นสูงสุด คือ การบรรลุธรรมได้ พร้อมกับการสิ้นชีวิต
ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า “ชีวิตสมสีสี” ถือว่าเป็นการบรรลุ เป้าหมายชีวิตในโอกาสสุดท้ายที่สูงสุด
พุทธวิธีการดูแลสุขภาพทั่วไป
หลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎกหลายแห่ง
ระบุถึงความมีสุขภาพอนามัยของพระพุทธเจ้าไว้หลายประการ เช่น บำเพ็ญพุทธกิจได้เกือบตลอดทั้งวัน
คือ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาตเพื่อโปรดสัตว์ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม เวลาค่ำทรงประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
และจวนสว่างทรงตรวจพิจารณาสัตว์ ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรม อันควรจะเสด็จไปโปรด
พระองค์ทรงมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดี แม้จะทรงมีพระชนมายุถึง ๘๐ พรรษา ๖๐ แล้วก็ตาม
ดังที่ตรัสยืนยันว่า พระองค์เป็นคนแก่ชรา แม้ว่าจะทรงเจ็บป่วยอย่างหนัก ก็ไม่ทำให้พระองค์หลงลืม
สติและปัญญา พระองค์เสด็จด้วยพระบาทจาริก ไปเผยแผ่ธรรมตามที่ต่างๆ
จนช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต ขณะที่พระองค์ทรงประชวรหนัก ด้วยโลหิตปักขันทิกาพาธ
(ถ่ายเป็นพระโลหิต) ยังทรงสามารถเดินทางไกล จากเมืองปาวา สู่เมืองกุสินารา อันเป็นสถานที่ปรินิพพานได้
บุคคลที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า
กล่าวขานถึงพระองค์ว่า ทรงเป็นผู้มีพระโรคาพาธน้อย ทรงกระปรี้กระเปร่า มีพระพลานามัยสมบูรณ์
อยู่สำราญดี พระองค์ตรัสกับพราหมณ์ผู้หนึ่ง ถึงความเป็นอยู่ของพระองค์ไว้ว่า
“พราหมณ์ เราอาศัยหมู่บ้าน หรือตำบลใดในโลกนี้อยู่
ในเวลาเช้า เราครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวร เข้าไปสู่หมู่บ้าน หรือตำบลนั้นแล เพื่อบิณฑบาต
กลับจากบิณฑบาต หลังจากฉันเสร็จแล้วเข้าไปสู่ชายป่า กวาดหญ้า หรือใบ้ไม้ที่มีอยู่ ในที่นั้นรวมเป็นกองแล้วนั่งขัดสมาธิ
ตั้งกายตรงดำรงสติมั่นไว้ สงัดจากกาม และอกุศลธรรมแล้ว บรรลุปฐมฌาน....บรรลุทุติยฌาน....บรรลุตติยฌาน....บรรลุจตุตถฌาน
ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริบูรณ์ เพราะอุเบกขาอยู่”
ข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้าจากพุทธพจน์ได้
ดังนี้
การบริโภคอาหาร พระองค์
ฉันอาหารมื้อเดียว นอกจากจะทรงถือหลักในการฉันอาหารมื้อเดียว ตลอดชีวิตพรหมจรรย์แล้ว
พระองค์ยังทรงพร่ำสอน และแนะนำให้เหล่าภิกษุสงฆ์ฉันอาหารมื้อเดียวด้วย
ดังพุทธพจน์ว่า
“ตถาคตฉันมื้อเดียว ไม่ฉันในเวลาวิกาล
พระองค์รู้สึกว่า กระปรี้กระเปร่าทำให้มีโรคน้อย ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด
แม้เธอทั้งหลาย ก็จงฉันอาหารมื้อเดียวเถิด เธอทั้งหลายฉันอาหารมื้อเดียว
จักรู้สึกว่า มีโรคน้อย”
พิจารณาอาหารก่อนฉัน ดังพุทธพจน์ว่า..
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันบิณฑบาต ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อมัวเมา
ไม่ใช่เพื่อตกแต่ง ไม่ใช่เพื่อประดับประดา แต่เพียงเพื่อความดำรงอยู่ได้แห่งกายนี้
เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไปได้ เพื่อบำบัดความหิว เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์
ด้วยความคิดเห็นว่า โดยอุบายนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสีย
และจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ
และการอยู่โดยผาสุกจักมีแก่เรา แล้วจึงบริโภคอาหาร”
พระพุทธเจ้าทรงมีเป้าหมายในการบริโภค
ที่ประกอบด้วยองค์ธรรม ๑๐ ประการ คือ
๑. ทรงมีสติและรู้ประมาณในการบริโภค
๒. ทรงบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ไม่ก่อโทษต่อร่างกาย
๓.
ทรงพิจารณาอาหารว่ามีลักษณะเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง
๔.
ไม่บริโภคเพื่อเล่นสนุกสนานเพลิดเพลิน
๕. ไม่บริโภคเพื่อความเมามัน
๖. ไม่บริโภคเพื่อประดับ
๗. ไม่บริโภคเพื่อตกแต่ง
๘. บริโภคเพื่อยังพระชนม์ชีพ
๙. บริโภคเพื่อป้องกันความลำบาก
๑๐.
บริโภคเพื่ออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์
ทรงเลือกพิจารณา ฉันเฉพาะอาหารที่เป็นประโยชน์
ไม่ก่อโทษต่อร่างกายเท่านั้น ดังที่ทรงห้ามภิกษุดื่มสุราและเมรัย
เพราะเป็นบ่อเกิดของการเกิดโรค มีสติในการฉันอาหาร พระองค์ตรัสแนะนำ พระเจ้าปเสนทิโกศลและภิกษุทั้งหลายให้เป็นผู้มีสติในการบริโภค
ดังพุทธพจน์ว่า
“…มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ
รู้ประมาณในการบริโภค ที่ได้แล้ว ย่อมมีเวทนาเบาบาง เขาย่อมแก่ช้า อายุยั่งยืน”
“เราทั้งหลาย จักเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ทำความรู้สึกตัว
ในการก้าวไป.....การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม”
รู้ประมาณในการฉัน ดังพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคอาหารไม่ใช่เพื่อเล่น เพื่อความมัวเมา
เพื่อประเทืองผิว และเพื่อความอ้วนพี แต่เพื่อกายนี้ดำรงอยู่
การพิจารณาในการบริโภค นี้เรียกว่า ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค”
ในพระไตรปิฎก ระบุถึงความมีสุขภาพอนามัยดี
ของพระพุทธเจ้าไว้หลายประการ ได้แก่ บำเพ็ญพุทธกิจได้เกือบตลอดทั้งวัน
สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ดี มีโรคน้อย มีเป้าหมายในการบริโภค มีสติพิจารณาฉัน เฉพาะอาหารที่เป็นประโยชน์
รู้ประมาณในการบริโภค และห้ามดื่มสุราและเมรัย ทำให้มีพระพลานามัยสมบูรณ์
พุทธวิธีบำบัดรักษาโรคด้วยธรรมโอสถ
พระพุทธเจ้าทรงนำธรรมโอสถ มาบำบัดรักษาโรค ให้กับภิกษุสงฆ์และคฤหัสถ์
จะนำมากล่าวพอสังเขปดังนี้
พระพุทธเจ้า ประทับ ณ พระเวฬุวันวิหาร
ทรงประชวรหนัก ได้รับทุกขเวทนาแรงกล้า ครั้งนั้น พระมหาจุนทะ สวดสาธยายโพชฌงค์ ๗
ให้พระองค์ฟัง พระองค์พิจารณาตามธรรมนั้นไปด้วย ครั้นพระมหาจุนทะ แสดงธรรมจบลง
ก็ทรงหายจากพระประชวร พระองค์ตรัสกับพระมหาจุนทะว่า “จุนทะ โพชฌงค์ดีนัก จุนทะ โพชฌงค์ดีนัก”
พระพุทธเจ้าทรงแนะนำหลักทั่วไป ในการแก้ความคิด
ความดำริที่เป็นอกุศล ดังนี้
๑. โรคโลภะ ทรงสอนให้เป็นผู้รู้จักพอ
รู้จักการถือสันโดษ และรู้จักการให้ทาน
๒. โรคโทสะ
ทรงสอนให้เป็นผู้มีความเมตตากรุณา มุทิตา และรู้จักการให้อภัย
๓. โรคโมหะ
ทรงสอนให้เป็นผู้รู้จักการศึกษา (สุตะ) การเจริญสติสัมปชัญญะ
และการหมั่นเจริญภาวนา
การดูแลรักษาตามที่ปรากฏในพระคัมภีร์
มีทั้งกรณีที่เป็นโรคทางกายและโรคทางใจ การรักษาทางกาย เช่น
พระบาทห้อพระโลหิตใช้ยาทา โรคไข้ตัวร้อนฉันรากบัว เง้าบัว การผ่าตัดเนื้องอก
การรักษาทางใจ เช่น การแยกกายกับจิตเมื่อเจ็บป่วย การฟังบทสวดโพชฌงค์ ๗ สัญญา ๑๐
เสริมกำลังใจ ใช้การกำหนดรู้สติปัฏฐาน ๔ ใช้การกำหนดสติรู้เวทนาเข้าสู่โพชฌงค์ ๗
ประกอบด้วยสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ใช้สมาธิพิจารณาเรื่องขันธ์ ๕ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฟังพรหมวิหาร ๔
อันเป็นหนทางไปสู่พรหมโลก
ประเภทของโรคในทางพระพุทธศาสนา
คำว่า “โรค” ในทางพระพุทธศาสนามาจากรากศัพท์บาลีว่า “รุช”
แปลว่า เสียดแทง มีความหมายว่า สิ่งที่เสียดแทงให้เจ็บปวด
โรคะ ตามคัมภีร์แพทย์โบราณว่า ด้วยสมุฏฐานแห่งโรค
หมายถึง โรคประจำตัวโรคที่ติดตัวอยู่ประจำรักษาไม่หาย
คำว่า “โรค” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ให้คำจำกัดความไว้ว่าหมายถึง
ความเจ็บไข้ ความเจ็บป่วย
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ได้ให้ความหมายว่า “โรค” คือ สิ่งที่เสียดแทงชีวิต ใช้แทนคำว่า
ทุกข์ ซึ่งทั้งโรคและทุกข์ เป็นสิ่งที่บีบคั้นขัดข้องเป็นปัญหาต้องแก้ไข ต้องกำจัดออกไป
ชีวิตจะไม่ได้ลำบาก” โรค นี้เป็นคำที่ใช้แทนคำว่า “ทุกข์” ซึ่งเป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคน ทุกข์ก็คือ ปัญหาของชีวิต
นักวิชาการแพทย์สมัยใหม่ ได้ให้ความหมาย โรคไว้ว่า
โรค หมายถึง ภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย เนื่องจากองค์ประกอบของร่างกายทำงานผิดปกติ
ทำให้รู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการที่ผิดปกติที่แสดงออกมาให้เห็น เช่น มีไข้ตัวร้อน
ไอ จาม ปวด บวม เป็นต้น แต่ในบางครั้ง เราอาจเป็นโรคโดยที่ไม่มีการผิดปกติ หรือไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคเลยก็ได้
ถ้าความผิดปกตินั้น เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย หรืออยู่ในระยะแอบแฝงตัว
ยังไม่แสดงอาการออกมา
โรค หมายถึง ความเจ็บไข้ ความเจ็บป่วย
ความไม่สบาย โรคประจำตัวโรคที่ติดตัวอยู่ประจำรักษาไม่หาย
ซึ่งเป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคน ปัญหาของชีวิตคือทุกข์ อาจเป็นโรคแอบแฝงตัว โดยที่ไม่มีการผิดปกติออกมา
ภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบาย เสียดแทงให้เจ็บปวด หรือมีอาการที่ผิดปกติแสดงออกมาให้เห็น
ประเภทของโรค
โรคที่เกิดขึ้นทางกายจากพระไตรปิฎก
พบว่า มีโรคชนิดต่างๆ ที่มีการกล่าวถึง เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะโรคทางกาย คือ โรคตา โรคหู
โรคจมูก โรคลิ้น โรคปาก โรคศีรษะ โรคใบหู โรคกาย โรคฟัน โรคหืด โรคไอ โรคไข้หวัด
โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคท้อง โรคลงแดง โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน
โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคคุดทะราด โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคหูด
โรคละอองบวม โรคอาเจียนเป็นโลหิต โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง
โรคอหิวาตกโรค โรคฝีดาษ โรคหิด โรคตุ่ม โรคกลิ่นตัวแรง โรคอมนุษย์เข้าสิง
โรคหน่อที่เท้า โรคปวดร้อนศีรษะ โรคลมตามอวัยวะ โรคลมขัดยอกตามข้อ โรคลม
โรคเท้าแตกโรคฝี เนื้องอก แผลไม่งอก โรคท้องผูก โรคผอมเหลือง โรคโดนยาแฝด โรคงูพิษ
โรคผดผื่นคัน โรคร้อนในกาย โรคลมในท้อง โรคเนื้องอกในลาไส้ โรคท้องร่วง โรคปอด
โรคลมชัก โรคพันธุกรรม๗๗ โรคอลสกะ โรคอัมพาต
โรคที่พระพุทธพุทธองค์ ทรงห้ามบรรพชาอุปสมบทมีอยู่
๕ ชนิด คือ โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู
พระพุทธเจ้าทรง จำแนกชนิดของโรคออกเป็น ๒ ชนิด
คือ โรคทางกาย (กายิกโรโค) และ โรคทางใจ (เจตสิกโรโค)
๑. โรคทางกาย หมายถึง การเจ็บป่วยทางกาย
เช่น ป่วยด้วยโรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคในกาย โรคศีรษะ โรคในช่องหู โรคปาก
๒. โรคทางใจ หมายถึง โรคที่เกิดทางใจ
เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยา ความหึงหวง ความวิตกกังวล
ความอาลัยอาวรณ์ ความคับแค้นใจ
ท่านพุทธทาส ได้แบ่งโรคออกเป็น ๓ ประเภท คือ ๑
โรคทางกาย ได้แก่ ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ๒ โรคทางจิต ได้แก่ โรคจิตที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่กับกาย
๓ โรคทางวิญญาณ ได้แก่ การที่วิญญาณหรือจิตส่วนลึก ประกอบด้วยกิเลส
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ เมื่อคนมีความเห็นผิด ก็เป็นเหตุให้คิดผิด
พูดผิด และการกระทำผิด หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า โรคทางวิญญาณก็ คือ
การยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา เป็นเขา ด้วยเหตุที่แพทย์ในปัจจุบันได้ใช้คำว่า “โรคจิต” กับผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต และต้องทำการรักษากับจิตแพทย์
ความหมายจึงไม่ตรงกับพุทธพจน์ ดังนั้น ท่านพุทธทาสจึงได้บัญญัติคำว่า “โรคทางวิญญาณ” ขึ้นมาใหม่
สาเหตุของโรค
พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง โรค ๒ อย่าง
คือ โรคทางกายและโรคทางใจ ดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย โรค ๒ อย่างนี้ คือ ๑ โรคทางกาย ๒ โรคทางใจ
๑) สาเหตุของโรคทางกาย
ในพระไตรปิฎกได้มีปรากฏ ถึงสาเหตุของการเกิดโรคทางกาย
ไว้หลายประการสาเหตุที่สำคัญ คือ ความไม่สมดุลของธาตุทั้ง ๔ และสาเหตุที่ปรากฏใน คิริมานันทสูตร
๘ ประการ ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่ากายนี้ มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ
จึงเกิดขึ้นในกาย นี้ คือ
๑. อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน
๒. อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
๓. อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน
๔. อาพาธมีไข้สันนิบาตเป็นสมุฏฐาน
๕. อาพาธอันเกิดแต่ฤดูกาลแปรปรวน
๖. อาพาธอันเกิดแต่การบริหารกายไม่สม่ำเสมอ
๗. อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกาลัง
๘. อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม
การเกิดโรคทางกาย
ดังที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนานี้ ใกล้เคียงกับศาสตร์ทาง การแพทย์
มีเพียงสาเหตุเดียว ที่มีกล่าวเฉพาะในพระพุทธศาสนา คือ สาเหตุของโรคที่เกิดจาก
ผลกรรม ดังพุทธพจน์ที่ว่า
“บุคคลในโลกนี้.....เป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนหินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง
เพราะกรรมนั้นที่เขาให้บริบูรณ์ ยึดมั่นไว้อย่างนั้น.... หลังจากตายแล้ว
ถ้าไม่ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ
เขาก็จะเป็นผู้มีโรคมาก .... มาณพ การที่บุคคล เป็นผู้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยฝ่ามือบ้าง....นี้เป็นปฏิปทา ที่เป็นไปเพื่อความมีโรคมาก”
เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ จะเป็นกรรมดี
หรือกรรมชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น “โรคกรรม”
พบได้ในทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
ที่ว่าโรคบางชนิดแพทย์ไม่สามารถหาสาเหตุและวินิจฉัยโรคได้ เรียกโรคทำนองนี้ว่า “โรคที่รักษาไม่หาย” หรือ “โรคที่รักษายาก”
เป็นต้น ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าเป็น “โรคกรรม”
จะรักษาอย่างไร ใช้ความพยายามแค่ไหน ก็ไม่หาย
จนกว่าจะสิ้นกระแสแห่งกรรมนั้น
บุคคลทำกรรมใด ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
กรรมนั้นแลเป็นสมบัติของเขา ทั้งเขาจะนำกรรมนั้นไปได้ อนึ่ง กรรมนั้นย่อมติดตามเขาไป
ดุจเงาติดตามตัวไป ฉันนั้น
การเกิดโรคทางกาย มีหลายสาเหตุ คือ
โรคเกิดจากดี เสมหะ ลม ไข้สันนิบาต ฤดูแปรปรวน การบริหารไม่สม่ำเสมอ
การใช้ความเพียรเกินกำลัง ผลของกรรม หนาว ร้อน หิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
ธาตุ ๔ ไม่สมดุล การไม่รู้ประมาณในการบริโภค การถูกสัมผัสจากเหลือบยุงและสัตว์เลื้อยคลาน
การถูกทำร้าย และการมีอายุมาก
โรคทางกายมีหลายสาเหตุ ความไม่สมดุลของธาตุทั้ง
๔ เป็นสาเหตุที่สำคัญ สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ เกิดจากดี เสมหะ ลม
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การบริหารไม่สม่ำเสมอ การใช้ความเพียรเกินกำลัง และผลของกรรม
ความรุนแรงของโรค ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังกล่าว อาจแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบรูณ์ของร่างกาย และผลจากกรรมในแต่ละบุคคล
๒) สาเหตุของโรคทางใจ
โรคทางใจ ได้แก่
การที่จิตใจของคนเราถูกครอบงำด้วยกิเลส ความเศร้าหมอง คือ โลภะ โทสะ และโมหะ เข้าครอบงำที่เรียกว่า
อนุสัยหรืออาสวะ ที่นอนเนื่องอยู่ภายในของภวังคจิต ประกอบไปด้วย ราคะ ปฏิฆะ อวิชชา
โรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ก็มี เฉพาะทางกาย และทางใจเท่านั้น
คนบางคนอาจจะไม่มีโรคทางกาย ตั้งแต่แรกเกิดจนแก่ชรา แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว ซึ่งมีจิตใจที่หนาไปด้วยกิเลสตัณหา
เป็นผู้มีโรคทางใจกันทั้งนั้น เว้นแต่ว่าใครจะมีมากน้อยเพียงใดเท่านั้น มีแต่พระอรหันต์ผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสเท่านั้น
ที่ไม่มีโรคทางใจ
ในทางพระพุทธศาสนา ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคทางใจ
ที่เกิดขึ้นจากกิเลสและตัณหามีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. โรคเกิดขึ้น เพราะความโลภ
ความโลภไม่ว่าจะเกิดขึ้นในใจของผู้ใด ผู้นั้นเป็นโรคทางใจที่เกิดจากความโลภ ทำให้อยากได้
อยากมี อยากเป็น และบางครั้งก็อยากได้เกินขอบเขตจนถึงเบียดเบียนผู้อื่น เพราะความโลภทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว
เกิดความกระหายอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เป็นคนที่มีจิตใจเร่าร้อน
มีความทะเย่อทะยานอยากได้ในทางที่ผิด เมื่อความปรารถนาไม่สมหวังในสิ่งที่ตนมุ่ง
ก็เกิดความคับใจ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์มาก ๆ ผลที่ตามมาก็คือ สุขภาพจิต
ทำให้นอนไม่ได้ บางคนเป็นบ้าเสียสติไปเลยก็มี เกิดการอิจฉาผู้อื่น เมื่อตนเองไม่ได้ดังความปรารถนาของตน
แม้ในที่สุดถึงตรอมใจตาย
๒. โรคเกิดขึ้น เพราะความโกรธ
เมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้ว คนผู้นั้นเป็นโรคทางใจ เพราะความโกรธทำให้จิตใจ ของผู้มักโกรธนั้น
เป็นคนที่มีจิตใจขัดเคือง หงุดหงิด ขุ่นเคืองผู้อื่น ทำให้จิตใจเร้าร้อนกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข
แผดเผาร้อนรนในใจของตนเอง มีจิตใจที่มุ่งร้ายอาฆาตพยาบาทผู้อื่น อันเป็นสาเหตุนำไปสู่การเบียดเบียน
ล้างผลาญ ซึ่งกันและกัน ผลก็คือ ความทุกข์ที่เกิดจากใจ
๓. โรคเกิดจากความหลง (โมหะ)
เพราะความหลงเกิดขึ้นกับผู้ใด ผู้นั้นเป็นโรคทางใจ เป็นบุคคลที่เชื่อง่าย
และเชื่อในสิ่งที่ผิด เข้าใจในสิ่งที่ผิด มีจิตใจที่มืดบอด มองไม่เห็นทาง
ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มักจะถูกชักนำไปในทางที่ผิดได้ง่าย เช่น เห็นดีเป็นชั่ว
เห็นชั่วเป็นดี เห็นทุกข์เป็นสุข ความหลงทำให้ได้รับความทุกข์ เพราะการคิดผิดของตนเอง
ที่ทำให้เกิดความร้อนใจ ที่นำความเสียหายมาให้แก่ตนเอง อย่างมากมาย เพราะการคิดผิด
ทำให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ ให้ได้รับความทุกข์ทรมาน อันเป็นความทุกข์ทางใจ
โรคทางใจ คือ
การที่จิตใจของมนุษย์ถูกครอบงำไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งแสดงออกมาทางกายกรรม
วจีกรรม และมโนกรรม
ชีวิตนี้มีโรค แต่โรคนั้นแก้ไขได้
จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ การแก้ไขความไม่สบายหรือโรคของชีวิต คำว่า “โรค” เป็นคำที่ใช้แทนคำว่า “ทุกข์”
ซึ่งเป็นปัญหาของมนุษย์ทุกคน ทุกข์ คือปัญหาของชีวิต เพราะฉะนั้น
เมื่อใช้คำว่า โรค แทนคำว่า ทุกข์ ก็ถือว่า ทุกข์นั้นเป็นโรค เป็นสิ่งบีบคั้น
เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข
ภาวะที่หายทุกข์หรือหมดทุกข์
มีสุขหรือปลอดทุกข์และเป็นสุข เป็นด้านหนึ่งของภาวะที่สมบรูณ์ เป็นส่วนหนึ่ง หรือด้านหนึ่งของภาวะองค์รวม
ซึ่งยังมีภาวะด้านต่างๆ อยู่ด้วยกัน กับความสุข เป็นลักษณะองค์ประกอบของภาวะ ที่เป็นความดีงามสมบรูณ์ของชีวิต
การเกิดโรคนั้นเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง
เมื่อพิจารณาถึงโรคที่เกิดขึ้น ทั้งสองประเภท ทำให้รู้ว่ามีความสอดคล้องกับ
ทุกขอริยสัจ ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย นี้จัดเป็นโรคทางกาย
ความเศร้าใจ ความรำคาญ คร่ำครวญ พิไรรำพัน ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
ความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ความไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา เหล่านี้จัดเป็นโรคทางจิต ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕
เป็นทุกข์ จัดเป็นโรคทางใจ
โรคทางใจ คือ การที่จิตใจของคนเราถูกครอบงำ
ด้วยกิเลสความเศร้าหมอง ด้วยความโลภ อยากได้ อยากมี ทำให้มีจิตใจเร่าร้อน
เมื่อความปรารถนา ไม่สมหวังในสิ่งที่ตนมุ่ง ความโกรธ ทำให้เป็นคนที่มีจิตใจ ขัดเคือง
หงุดหงิด ขุ่นเคืองผู้อื่น ทำให้จิตใจเร้าร้อน กระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข ความหลง
ทำให้เชื่อในสิ่งที่ผิด เข้าใจในสิ่งที่ผิด มีจิตใจที่มืดบอด มองไม่เห็นทาง
ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี มักจะถูกชักนำ ไปในทางที่ผิดได้ง่าย ความโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดความทุกข์
๓) สาเหตุของโรคทางจิต
โรคทางจิต ตามวิถีแพทย์ปัจจุบัน
ความแปรปรวนทางจิต เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป ได้แก่ โรคทางจิตมีสาเหตุมาจาก
พันธุกรรม ความผิดปกติทางโครโมโซม โครงสร้างของร่างกาย อายุ เพศ การแต่งงาน
เชื้อชาติ การตั้งครรภ์ อาชีพ และภาวะทางการงาน ปัจจัยทางครอบครัว สังคม และวัฒนธรรม
สุรา ความเจ็บป่วย ความแปรปรวนทางสมองทั่วไป การติดเชื้อ สิ่งเป็นพิษ ความแปรปรวนทางต่อมไร้ท่อ
การขาดสิ่งที่จำเป็น การขาดออกซิเจน การขาดอาหาร การขาดวิตามิน การขาดการนอน
การขาดความฝัน การขาดสิ่งเร้า การแยกจากสังคม ความสำคัญระหว่างบุคคล
ความเศร้าใจความขัดแย้งทางใจ
ความแปรปรวนทางจิตใจ ชนิดรุนแรง เช่น เอะอะ
โวยวาย ก้าวร้าว หลงผิด ประสาทหลอน หวาดระแวง มีสาเหตุมาจากจิตใจ หรือร่างกาย และมีผลทำให้เกิดความผิดปกติ
ในการคิดการตอบสนองทางอารมณ์ ความจำ การสื่อสาร การตีความหมาย และพฤติกรรมที่เหมาะสม
จนเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต มีความคิดแปรปรวน สับสนขาดเหตุผล
พูดสับสนหลายเรื่องพูดไม่ติดต่อ เพ้อเจ้อ วกวน เหม่อลอย ทำให้ประสาทหลอน และอาการหลงผิด
มีอารมณ์แปรปรวน เดี่ยวดีเดี่ยวร้าย คลุ้มคลั่งอาจ เป็นอันตรายกับคนที่อยู่ใกล้ชิด
ความโศกเศร้า ความคร่ำครวญ ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
ความประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก ความไม่สมปรารถนา ซึ่งเป็นอาการแสดงออกของจิต
ที่ประสบทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง
บทสรุป
พระบรมศาสดา ทรงเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
พระองค์มีความสามารถที่จะรักษาโรค คือ กิเลสพร้อมทั้งอนุสัย อันได้แก่ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง และความมัวเมา พระองค์ทรงใช้ญาณตรวจดูโรค เมื่อรู้ภาวะของเหล่าสรรพสัตว์แล้ว
ก็ทรงวางยา (แสดงธรรม) คือ ธรรมะโอสถ ธรรมะบางหมวด เมื่อฟังแล้วพิจารณาตาม ทำให้จิตใจสงบระงับผ่อนคลาย
เป็นสมาธิ ส่งผลไปถึงกายให้หายจากโรคทางกาย และโรคทางใจได้ ดังพระมหากัสสปะเถระ ที่อาพาธ
พระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมแล้วพระองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗
ให้ฟังพระมหากัสสปะพิจารณาตามธรรมนั้นก็หายจากโรค เมื่อภิกษุอาพาธ พระองค์ทรงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลาย
รักษาพยาบาลกันเอง และทรงรับสั่งว่า “ถ้าหากภิกษุรูปใด มีความปรารถนาจะพยาบาล
เราตถาคตแล้วไซร้ ขอเธอทั้งหลายจงพยาบาลภิกษุไข้”
พุทธวิธีบำบัดรักษาโรคของพระพุทธองค์
ในการรักษาโรคต่างๆ ด้วยเภสัช ๕ ชนิด คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
ยาสมุนไพรอื่น การใช้ความร้อนบำบัด และการผ่าตัด การรักษาโรคทางใจ คือ ตัดกิเลส พร้อมทั้งอนุสัย
อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง และความมัวเมา ทรงแสดงธรรมะโอสถ เลือกธรรมะตรง
ตามภาวะของโรค เมื่อฟังแล้วพิจารณาตาม ทำให้จิตใจสงบระงับผ่อนคลาย เป็นสมาธิ
ส่งผลไปถึง กายให้หายจากโรคทางกาย และโรคทางใจได้
ข้อเสนอแนะ
ควรศึกษาวิธีการรักษาโรคทางใจสู่การพัฒนาจิตที่ยั่งยืน
นั่นคือการหมดจดจากโรคคือกิเลสทั้งหลายทั้งปวง จนกระทั่งโรค (กิเลส)
ไม่สามารถเกิดหรือเข้าใกล้เราได้เลย สภาวะนั้นคือ “อรหันต์” หมายถึงผู้ไกลจากกิเลส
เมื่อเราไม่เกิดแม้โรคทางกายก็มิอาจมีได้อีกเลยเช่นกัน
บรรณานุกรม
มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี
ฉบับสยามรฏฺเตปิฏกํ. กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย.
๒๕๒๕.
ชัยชาญ
ดีโรจนวงศ์. “แนวความคิดใหม่ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ ๒”. สารราชวิทยาลัย อายุรแพทย์แห่งประเทศไทย. ๑๘(๓๐). เมษายน-มิถุนายน.
๒๕๔๗.
ประเวศ วะสี. สุขภาพในฐานะอุดมการณ์ของมนุษย์.
นนทบุรี : สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ. ๒๕๔๓.
พระครูอินทสารวิจักษ์ อินฺทสโร
(กิจไร่).
“การรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรและธรรมโอสถที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต. (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๕๐). บทคัดย่อ.
พระเทพเวที
(ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลธรรม.กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๘.
พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตโต). การแพทย์ยุคใหม่ในพุทธทัศน์.
พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพมหานคร : บริษัทธรรมสาร
จำกัด.
๒๕๔๒.
พระมหาจรรยา
สุทฺธิญาโณ.
พระพุทธศาสนากับการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๔
วิชิต เปานิล. พุทธกระบวนทัศน์เพื่อสุขภาพและการเยียวยาในสังคมไทย.กรุงเทพมหานคร
: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. ๒๕๔๖.
ศรีเรือน
แก้วกังวาน. จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย. พิมพ์ครั้งที่ ๗.
กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๔๐.
สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ
(สปรส). สุขภาพทางจิตวิญญาณ สู่สุขภาพทางปัญญา. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : อุษาการพิมพ์. ๒๕๔๖.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น