ถ้ำอชันตา : ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ในอินเดียตะวันตก
พระมหาประภาส ปริชาโน,ดร.
สาขาวิชาพุทธศาสนาและปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
บทนำ
ถ้ำอชันตานี้มีเกิดมาตั้งแต่
พ.ศ.350
เดิมทีนั้นสร้างโดยพระสงฆ์นิกายหินยาน
และช่างแกะสลักส่วนใหญ่ก็เป็นชาวฮินดูในวรรณะต่ำที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ
แล้วก็มาทำการแกะภูเขาสร้าถ้ำขึ้นมา ต่อมาพระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงเริ่มเข้ามา
และไปผสมผสานภายหลัง
มีผู้สันนิษฐานว่าพระสงฆ์เลือกถ้ำแห่งนี้เนื่องจากเป็นสถานที่ที่สงบเงียบ
และหินที่ภูเขาก็เป็นหินแบบไม่แข็งจนเกินไป
รวมทั้งอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางส่งสินค้าของชาวอาหรับโบราณมากนัก
หลังจากกองทัพมุสลิมเข้ามายึดครองอินเดีย
ถ้ำอชันตาก็หายไปจากความทรงจำของผู้คน ต่อมาใน ค.ศ.1819 นายทหารอังกฤษชื่อนายจอห์น
สมิธ ได้ออกล่าสัตว์ในเขตนั้น และพบถ้ำดังกล่าว เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เพราะไม่นึกไม่ฝันว่าคนสมัยนั้นจะมีความพยายามสูงส่ง
ขนาดเจาะหินภูเขาเป็นที่อยู่อันใหญ่โตมโหฬารด้วยมือได้เช่นนี้
ถ้ำอชันตา
เป็นถ้ำของพระพุทธศาสนา สร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี พ.ศ.350 มาสิ้นสุดประมาณ
พ.ศ. 1200 ในปี พ.ศ.2362 ได้มีทหารอังกฤษ
สังกัดกองทัพที่เมืองมัทราส ออกเดินทางมาล่าสัตว์
คราวหนึ่งได้วิ่งตามกวางที่หนีเข้าไปในถ้ำจึงได้พบถ้ำอชันตาดังกล่าว
ภายในถ้ำแห่งนี้มีจิตรกรรมภาพเขียนผนังที่งดงามหาใดเปรียบ
ปัจจุบันได้รับจดขึ้นเป็นทะเบียนมรดกโลกแล้ว ทั้งหมดมี 30 ถ้ำ
แต่ละถ้ำจะถูกเจาะแกะสลักเป็นพระพุทธรูปที่งดงามน่าทึ่ง
ถ้าอชันตาเป็นมรดกโลก
ถ้ำอชันตา (Ajanta
Caves) ตั้งอยู่ในเมืองออรังกาบาด รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย ได้ชื่อว่าเป็น
วัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ.350 โดยพระภิกษุในสมัยนั้นได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้
เห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง
จึงได้เจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ เพื่ออาศัยอยู่อย่างสันโดษ
เนื่องจากเป็นสถานที่ห่างไกลผู้คน ภายในเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน เป็นองค์เจดีย์
เป็นพระพุทธรูป และภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำ เล่าเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก
ในปี พ.ศ. 2527 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
28
เมษายน พ.ศ. 2362 ข้าราชการทหารของสหราชอาณาจักร
จอหน์ สมิธ (อังกฤษ: John
Smith) ได้ค้นพบถ้ำนี้โดยบังเอิญ ถ้ำหมายเลข 1 เป็น ถ้ำพุทธมหายาน ที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลกว่า
มีภาพเขียนสีที่งดงามมากที่สุด แม้เวลาจะผ่านมานานถึงกว่า 1,500 ปี ภาพก็ยังคงสีสันและลายเส้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ยุครุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอินเดียตะวันตกกับการขุดถ้ำ
นอกจากนี้ยังมีรอยจารึกสำคัญที่พบในถ้ำเดียวกันนี้
ได้ระบุชื่อของกษัตริย์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์สาตวาหนะ
ทำให้นักประวัติศาสตร์ได้รู้ว่าวัดถ้ำที่อชันตาได้รับการอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่องจากพระมหากษัตริย์
ตั้งแต่การสร้างวัดถ้ำในยุคแรกๆ
ลักษณะของหมู่วัดถ้ำอชันตานั้นพบว่ามีถ้ำมากกว่า
30 ถ้ำ เรียงตัวต่อเนื่องกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงลักษณะเป็นวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว
บริเวณหน้าถ้ำแต่ละแห่งสร้างเป็นบันไดทอดยาวลงไปยังแม่น้ำสายเล็กๆ
ที่ไหลลดเลี้ยวไปตามหุบเขาเบื้องล่าง แม่น้ำสายนี้คือ "แม่น้ำวโฆระ"
ซึ่งจะมีระดับน้ำขึ้นสูงในช่วงฤดูฝน
ถ้ำพุทธฝ่ายเถรวาทที่อชันตาเจริญรุ่งเรืองอยู่ต่อมาอีกราว
200 ปี จนถึง พ.ศ.550 ก็หยุดชะงักไม่ปรากฏร่องรอยการสร้างวัดถ้ำของพุทธฝ่ายเถรวาทที่นี่อีกต่อไปนานถึง
400 ปี จึงกลับมาสร้างต่ออีกครั้งในราวพุทธศตวรรษที่ 10 แม้จะยังไม่มีคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพุทธสถานที่ถ้ำอชันตาในช่วง
400 ปี ที่เว้นว่างไปแต่ในช่วงเวลานั้นเองก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวสำคัญที่พลิกโฉมศาสนาพุทธในอินเดียไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งแรกคือการเกิดขึ้นของพระพุทธรูป สิ่งที่สองคือศาสนาพุทธสายมหายานได้เกิดขึ้นแล้วอย่างเต็มตัว
อชันตายุคพุทธศาสนามหายาน
การสร้างวัดถ้ำที่อชันตาระยะที่
2 เริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากศาสนาพุทธในอินเดียได้เข้าสู่ยุคของมหายานไปแล้วถึง 400
ปี ในบรรดาวัดถ้ำทั้งหมดพบว่ามีวัดถ้ำในแบบพุทธมหายานถึง 24 ถ้ำ
ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นในสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นยุคทองของศิลปะอินเดีย พระภิกษุฝ่ายมหายานได้เข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากและปรับเปลี่ยนถ้ำให้เหมาะสมกับพิธีกรรมที่ทำขึ้น
จากวิหารแบบเรียบง่ายที่สร้างขึ้นในสมัยพุทธฝ่ายเถรวาท
ถูกเปลี่ยนไปเป็นห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่า สลักหินเป็นเสาสูงมากมาย
ที่หัวเสาแกะสลักเป็นลวดลายงดงามทั่วทั้งคูหาถ้ำ ผนังด้านในทั้งสองด้านแกะสลักเป็น
พระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่
ที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างประติมากรรมชั้นสูงในการแกะสลักหินออกมาได้อย่างอ่อนช้อยและสวยงาม
สำหรับถ้ำหมายเลข 1 เป็นถ้ำพุทธมหายานที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลกว่า
มีภาพเขียนสีที่งดงามมากที่สุด แม้เวลาจะผ่านมานานถึงกว่า 1,500 ปี
ภาพก็ยังคงสีสันและลายเส้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ
จิตรกรรมฝาผนังกับความมหัศจรรย์ของอชันตา
ถ้ำอชันตา
นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่คนทั่วไปอาจไม่รู้จัก ในขณะที่นักประวัติศาสตร์ศิลป์ทั่วโลกคุ้นเคยกับพุทธสถานแห่งนี้เป็นอย่างดี
ในฐานะเป็นที่รวมความงามทางพุทธศิลป์ทั้งด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมโบราณ
ซึ่งสร้างจากแรงศรัทธาและความมุ่งมั่นพยายามของผู้ปฏิบัติธรรมในละแวกนั้น
ถ้ำที่มีความสวยงามและเลื่องชื่อในด้านจิตรกรรมฝาผนังและรูปปั้นก็คือ
ถ้ำที่ 1 ซึ่งภายในมีภาพวาดพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรและพระปัทมปาณีถือดอกบัว
เอียงพระเศียร แสดงสีหน้าอ่อนโยนและเมตตา ในขณะที่ถ้ำที่ 2 มีความงดงามไม่แพ้กัน
ต่างกันเพียงจิตรกรรมฝาผนังของถ้ำนี้เป็นเรื่องการประสูติของพระพุทธองค์และ
พระสุบินของพระนางสิริมหามายา
ส่วนวิหารในถ้ำที่
19
เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมหินแกะสลักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มีความโดดเด่นที่เพดานด้านบนเป็นทรงเกือกม้า
และมีรูปปั้นเทพารักษ์ยืนตรงขอบหน้าต่าง โดยทั้งหมดเป็นฝีมือของพระสงฆ์นิกายมหายานที่สื่อให้เห็นถึงชีวิตความเป็น
อยู่และพระ ราชวังอันหรูหราของพระพุทธเจ้าก่อนออกผนวชเพื่อค้นหาสัจธรรมของชีวิต
ที่กล่าวมานี้
เป็นเพียงตัวอย่างของไฮไลต์เด่นๆ ในถ้ำอชันตาเท่านั้น เพราะถ้ำอื่นๆ
ยังมีศิลปะและจิตรกรรมฝาผนังที่อธิบายถึงหลักธรรมในพุทธศาสนาและพุทธประวัติมากมาย และในปี
พ.ศ.2545 รัฐบาลอินเดียได้อนุมัติงบประมาณเพื่อติดตั้งระบบไฟใยแก้วออฟติกที่ทันสมัยในทุกถ้ำ
และจัดซื้อรถประจำทางปลอดสารพิษจำนวน 10 คัน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักประวัติศาสตร์ที่เข้ามาศึกษาค้นคว้าหาความหมาย และปรัชญาที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรมแห่งนี้
ทั้งยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสกับความวิจิตรอลังการของถ้ำอชันตาเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
เอกลักษณ์ในแต่ละถ้ำบ่งบอกถึงความรุ่งเรือง
ถ้ำเหล่านี้ได้เริ่มสร้างเป็น
2
ระยะ ระยะแรกตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 จนถึงพุทธศตวรรษที่
7 และระยะที่สองตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 10-11 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 การก่อสร้างในระยะแรกๆ
อยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์สัตวาหนะหลายพระองค์ ถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดจะอยู่ตรงกลาง
ส่วนถ้ำที่ใหม่กว่าจะเจาะเพิ่มออกไปทางด้านข้างทั้งสองด้าน กองโบราณคดีแห่งชาติอินเดียได้สำรวจและให้หมายเลขที่ถ้ำไว้
โดยเริ่มต้นจากทางด้านตะวันตกสุดเป็นถ้ำที่ 1 นับเรียงเรื่อยไปจนหมดลงที่ถ้ำสุดท้ายอันเป็นถ้ำที่
29 ทางด้านตะวันออกสุด ในระยะแรกๆ จากพุทธศตวรรษที่ 3-7
อชันตามีถ้ำเพียง 5 ถ้ำ เป็นถ้ำเจดีย์ 2
ถ้ำ คือถ้ำที่ 9 และ 11 ส่วนถ้ำที่
8, 12, และ 13 เป็นถ้ำวิหาร
ถ้ำเหล่านี้จึงเป็นถ้ำที่เก่าแก่กว่าถ้ำอื่นๆ และเป็นถ้ำที่ชาวพุทธฝ่ายเถรวาทได้เคยมาพำนัก
จนถึงพุทธศตวรรษที่
7
ถ้ำอชันตาก็เริ่มเสื่อมโทรมลงและถูกทอดทิ้งให้รกร้างว่างเปล่าอยู่เป็นเวลานานถึง
4 ศตวรรษ จนประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 ในราว
พ.ศ. 993-1193 เมื่อชาวพุทธฝ่ายมหายานมีอำนาจมากขึ้นจึงมีการเจาะถ้ำที่อชันตาเพิ่มเติมขึ้นอีก
24 ถ้ำ โดยทำเป็นถ้ำเจดีย์ 2 ถ้ำ คือ
ถ้ำที่ 19 และ 26 ส่วนถ้ำที่เหลือเป็นถ้ำวิหาร
ชาวพุทธในนิกายมหายานได้มาฟื้นฟูถ้ำอชันตาขึ้นใหม่ ทำให้อชันตานี้เป็นศูนย์กลางของ
พระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในดินแดนอินเดียตะวันตก ตามประวัติศาสตร์พุทธศาสนากล่าวว่า
กษัตริย์ในราชวงศ์วากาฏกะหลายพระองค์ได้เป็นผู้อุปถัมภ์ที่สำคัญของพระพุทธศาสนาและภายใต้การปกครองของกษัตริย์ในราชวงศ์นี้
ถ้ำอชันตาได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก
ศิลาจารึกในถ้ำที่
16
ได้จารึกไว้ว่า ถ้ำนี้ได้ขุดเจาะตามคำสั่งของวีรเทวะ
ซึ่งเป็นเสนาบดีของพระเจ้าหริเษนแห่งราชวงศ์วากาฏกะ
ศิลาจารึกในถ้ำที่
17
ก็จารึกไว้ว่า อจิตยะ
เสนาบดีของพระเจ้ารวิสัมพะผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าหริเษนได้สั่งให้ขุดเจาะห้องโถง
ซึ่งมีเสาหินที่งดงามมากดุจดังประดับด้วยเพชรพลอยและมีเจดีย์อยู่องค์หนึ่ง
มีบ่อน้ำเย็นจืดสนิทอยู่บ่อหนึ่งและมีกุฏิพระภิกษุด้วย ศิลาจารึกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งจากถ้ำที่
26 ได้จารึกว่า
ถ้ำนี้ทำการขุดเจาะด้วยความกรุณาของพระพุทธภัทรโดยมีศิษย์ของท่าน 2 คน คือพระภัทรพันธุและพระธรรมทัตตะเป็นผู้ควบคุมงานการขุดเจาะ ซึ่งจากศิลาจารึกนี้เองได้หลักฐานยืนยันว่า
พระพุทธภัทรเป็นพระที่มีคนนับถือยกย่องมากองค์หนึ่ง และอาจจะเป็นเจ้าอาวาสของสถาบันสงฆ์อันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
นอกจากนี้ยังได้ทราบว่า
พระสถวีระอจละ เป็นผู้สร้างพระวิหารคนแรกมีแผ่นศิลาจารึกอื่นๆ อีก 2-3 แผ่น ได้กล่าวถึงสิ่งของที่อุทิศให้โดยบรรดาเสนาบดี ขุนนาง อุบาสกและพระภิกษุสงฆ์
จากหลักฐานต่างๆ ได้แสดงว่า ในสมัยหลังถ้ำอชันตามีการพัฒนาขึ้นจนเป็นศูนย์กลางอันสำคัญของพระพุทธศาสนาในนิกายมหายาน
ซึ่งในถ้ำเหล่านี้บางถ้ำได้แกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่โดยมีสัญลักษณ์
ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานต่าง ๆ ประกอบอยู่ด้วย เช่น พระโพธิสัตว์ในปางต่างๆ เป็นต้น
วิธีการเจาะถ้ำอชันตา
เนื่องจากแนวหน้าผาของหมู่ถ้ำอชันตานั้นเป็นหน้าผาตัดตรงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ดังนั้นการเจาะภูเขาให้เป็นถ้ำ จึงใช้วิธีเจาะเข้าไปในภูเขาหินทางด้านหน้าโดยตรงได้เลย
โดยถ้ำที่เจาะเข้าไปมีลักษณะเป็นคูหาสี่เหลี่ยมมีพื้นห้องและเพดานเรียบ
ส่วนฝาผนังห้องมักมีการแกะสลักหรือมีการฉาบปูนเรียบเพื่อการวาดเป็นภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ทางด้านหน้าถ้ำมักมีประตูทางเข้าทางเดียวหรือสองทาง
และบางคูหาก็มีหน้าต่างด้วย
แบบแปลนภายในถ้ำโดยทั่วไป
ภายในคูหาถ้ำส่วนมากมีการแกะสลัก
เช่น เสาหินที่ค้ำยันไว้กับคาน บางคูหามีซุ้มประตู มีพระพุทธรูปที่เป็นแบบพระประธาน
มีสถูปเจดีย์และบางคูหาก็แกะสลักหลังคาเป็นโดมโค้งแบบสาญจี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ถ้ำหรือวัดเหล่านี้ส่วนมากมักใช้เป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ด้วย จึงมีการสลักหิน
เป็นเตียงนอนไว้ด้วย
ยุคเปลี่ยนผ่านกับการเจาะถ้ำอชันตา
การเจาะถ้ำอชันตามีหลายยุคหลายสมัย
ซึ่งแต่ละยุคสมัยคงจะมีเหตุผลต่างๆ กัน บางยุคต้องการ ความสงบวิเวกในการเจริญจิตตภาวนา
บางยุคต้องการหลบหนีภัยจากการถูกรุกรานของชนต่างศาสนา บางยุคมีความเชื่อของผู้ที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าเพื่อหวังในพุทธภูมิ
การกลับไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป
ถ้ำอชันตา
คือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
มีผู้กล่าวว่า
อชันตาน่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยิ่งเสียกว่าทัชมาฮาลเสียอีก
เพราะผู้ที่ได้มาเห็นแล้วมักเกิดความมหัศจรรย์ใจว่า นี่เป็นผลงานที่คนใช้มือเจาะเข้าไปในภูเขาหินแล้วแกะสลักเป็นถ้ำได้อย่างสวยงามปานฉะนี้ได้หรือ? เขาทำได้อย่างไรกัน? และอะไรหนอเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์เราสามารถทำอะไรๆ
ที่ต้องใช้ความพยายามอันมากมายเช่นนี้
นอกจากการถูกกดขี่ข่มเหง
ถูกบังคับเฆี่ยนตีให้ทำดังเช่นการสร้างทัชมาฮาลนั้น แบบหนึ่งหรืออีกอย่างถ้าไม่มีการถูกบังคับเลยมันก็ต้องเป็นศรัทธาอย่างแรงกล้าของมนุษย์ติดต่อกันหลายๆ
ชั่วอายุคนทีเดียว ทั้งโบสถ์ วัด วิหาร เจดีย์ ล้วนมีความวิจิตรพิสดารจนยากที่จะบรรยายเป็นตัวอักษรได้
ภายในถ้ำมีทั้งรูปและภาพหินแกะสลักของพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ต่างๆ พระภิกษุสงฆ์สาวก พระสถูป เสาประตู หน้าต่าง หลังคา อย่างงดงาม
นอกจากนี้ยังมีภาพวาดฝาผนัง
เพดาน ขื่อ คาน เสา ที่แสดงถึงพุทธประวัติอย่างสมบูรณ์
ในลักษณะของนิทานชาดกที่บรรยายถึงพระชาติปางก่อนบ้าง ในสมัยเป็นฆราวาสบ้าง มีพระราชวังอันตระการตาชีวิตอันหรูหรา ขบวนแห่ตลอดจนงานในราชพิธีต่างๆ
ในลักษณะของนิทานชาดกที่บรรยายถึงพระชาติปางก่อนบ้าง ในสมัยเป็นฆราวาสบ้าง มีพระราชวังอันตระการตาชีวิตอันหรูหรา ขบวนแห่ตลอดจนงานในราชพิธีต่างๆ
ส่วนพระโพธิสัตว์ที่นิยมวาดเป็นภาพของปัทมปราณี
วัชรปราณี และอวโลกิเตศวร ซึ่งได้ลงสีไว้อย่างงดงามอ่อนช้อยราวกับมีชีวิตชีวา
สิ่งเหล่านี้ได้แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในภูมิภาคแห่งนี้ เป็นเวลาติดต่อกันมานานหลายศตวรรษ
ความสามารถทางสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมของนายช่างแห่งถ้ำอชันตา
ได้ชี้ให้เห็นถึงสมัยที่ พระพุทธศาสนาได้รุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่งในอินเดีย
การที่ถ้ำอชันตามีชื่อเสียงขจรไปไกล
ก็เพราะภาพเขียเฟรสโก้ ซึ่งเป็นภาพเขียนสีบนฝาผนังและเพดาน
ซึ่งเขียนเมื่อปูนยังหมาดๆ ภาพจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพเขียนฝืมือชั้นครูที่หาไม่ได้ง่ายๆ
และแม้ภาพเขียนเหล่านี้ได้เสียหายไปแล้วบ้างในที่บางแห่งแต่ก็ยังมีพอให้เห็นเป็นตัวอย่างของจิตรกรผู้ชำนาญได้ภาพเขียนเหล่านี้ก่อให้เกิดความประทับใจและความรักอย่างดีที่สุด
ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วโลกพากันยกย่องสรรเสริญ
ภาพหินแกะสลักและภาพวาดฝาผนังและเพดาน
นอกจากได้สะท้อนออกมาเป็นผลงานทางด้านศิลปกรรมที่มีความงดงามเป็นเลิศแล้ว
ในทางด้านพระพุทธศาสนาแสดงถึงประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และสะท้อนให้เห็นว่า
ผู้ทำมีความตั้งใจมั่นเพียงไร มีความสงบนิ่ง มีความละเอียดละออ
มีความมั่นคงอย่างยิ่ง มี ศรัทธา วิริยะ อุตสาหะ ขันติ ปัญญา ฯลฯ มากเพียงใด
คนในยุคนั้นสมัยนั้น
แม้แต่เรื่องทางวัตถุซึ่งเป็นเรื่องทางรูปธรรมหยาบๆ ที่จับต้องได้
ก็ยังทำได้วิจิตร พิสดารถึงเพียงนี้แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเรื่องจิตใจซึ่งเป็นเรื่องทางนามธรรมที่ละเอียดอ่อนและประณีตยิ่งกว่า
คงจะสามารถบรรลุธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเป็นแน่นอน
ถ้ำเป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ได้หรือไม่
?
เมื่อมาที่ถ้ำอชันตา
มักจะมีคำถามที่ค่อยข้างจะบ่อยถึงบ่อยที่สุดคือคำถามที่ว่า...ท่านคะ!!...พระสงฆ์อาศัยอยู่ในถ้ำได้หรือเปล่า? เพื่อคลายความสงสัยของโยมญาติ
จึงขอตอบว่า....มีพุทธบัญญัติที่ปรากฏในพระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่มที่ 7 จุลวัคค์
หมวดเสนาขันธกะ (หมวดว่าด้วยที่อยู่อาศัย)
พระพุทธองค์ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตเรื่องกุฏิหรือที่อยู่ของพระสงฆ์มี 5 ประการ
ได้แก่
1. วิหาร หมายถึง กุฏิมีหลังคา มีปีกสองข้างปกติ
2. อัฑฒโยค หมายถึง กุฏิมุงซีกเดียว
(เพิงหมาแหงน)
3. ปราสาท หมายถึง กุฏิแบบหลายชั้น
4. หัมมิยะ หมายถึง
กุฏิหลังคาตัดหรือเรือนโล้น (ปัจจุบันรวมถึงเต๊นที่แสงผ่านได้)
5. คูหา หมายถึง ถ้ำตามภูเขาต่างๆ
ทั้งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและมนุษย์ สัตว์ขุดไว้
เราคงหายสงสัยแล้วว่า เหตุใดพระสงฆ์ในสมัยนั้นจึงไม่สร้างวิหารธรรมดาแบบทั่วไป
ทำไมจึงเจาะถ้ำเป็นที่อยู่ได้ คำตอบคือพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พักในถ้ำได้นั่นเอง
ยุคพระเจ้าอโศกกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาในอินเดียตะวันตก
ในพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(ภาษาไทย) เล่มที่ 1 พระวินัยปิฎก เล่ม 1 มหาวิภังค์ ปฐมภาคพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ครั้นทำตติยสังคีตินั้นแล้วได้ดำริอย่างนี้ว่าในอนาคตพระศาสนาจะพึงตั้งมั่นอยู่ด้วยดีในประเทศไหนหนอแล
?
ลำดับนั้น
เมื่อท่านใคร่ครวญอยู่จึงได้มีความคิดดังนี้ว่า พระศาสนาจักตั้งมั่นอยู่ด้วยดีในปัจจันติมชนบททั้งหลาย
ท่านจึงมอบศาสนกิจนั้นให้เป็นภาระของภิกษุเหล่านั้นแล้วส่งภิกษุเหล่านั้นไปในรัฐต่างๆ
คือ
1. พระมัชฌันติเถระไปยังรัฐกัสมีรคันธาระ
ด้วยสั่งว่าท่านไปยังรัฐนั่นแล้ว จงประดิษฐานพระศาสนาในรัฐนั่น
2. ท่านได้สั่งพระมหาเทวเถระอย่างนั้นเหมือนกันแล้วส่งไปยัง มหิสกมณฑล
3. ส่งพระรักขิตเถระไปยัง วนวาสีชนบท
4. ส่งพระโยนกธรรมรักขิตเถระไปยัง อปรันตกชนบท (ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมุมไบ)
5. ส่งพระมหาธรรมรักขิตเถระไปยัง มหารัฐชนบท (ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองออรังคบาด)
6. ส่งพระมหารักขิตเถระไปยังโลกเป็นที่อยู่ของ ชาวโยนก
7. ส่งพระมัชฌิมเถระไปยังชนบทอันเป็นส่วนหนึ่งแห่ง หิมวันตะประเทศ
8. ส่งพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ ไปยังสุวรรณภูมิชนบท
9. ส่งพระมหินทเถระผู้เป็นสัทธิวิหาริกของตนกับพระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระภัททสาลเถระไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีป (เกาะลังกา) ด้วยสั่งว่าพวกท่านไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปแล้วจงประดิษฐานพระศาสนาในเกาะนั่น
2. ท่านได้สั่งพระมหาเทวเถระอย่างนั้นเหมือนกันแล้วส่งไปยัง มหิสกมณฑล
3. ส่งพระรักขิตเถระไปยัง วนวาสีชนบท
4. ส่งพระโยนกธรรมรักขิตเถระไปยัง อปรันตกชนบท (ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมุมไบ)
5. ส่งพระมหาธรรมรักขิตเถระไปยัง มหารัฐชนบท (ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองออรังคบาด)
6. ส่งพระมหารักขิตเถระไปยังโลกเป็นที่อยู่ของ ชาวโยนก
7. ส่งพระมัชฌิมเถระไปยังชนบทอันเป็นส่วนหนึ่งแห่ง หิมวันตะประเทศ
8. ส่งพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ ไปยังสุวรรณภูมิชนบท
9. ส่งพระมหินทเถระผู้เป็นสัทธิวิหาริกของตนกับพระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระภัททสาลเถระไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีป (เกาะลังกา) ด้วยสั่งว่าพวกท่านไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีปแล้วจงประดิษฐานพระศาสนาในเกาะนั่น
พระเถระแม้ทั้งหมดเมื่อจะไปยังทิสาภาคนั้นๆ
ก็เข้าใจอยู่ว่าในปัจจันตชนบททั้งหลายต้องมีคณะปัญจวรรคจึงสมควรทำอุปสมบทกรรมได้ดังนี้
จึงไปกันพวกละ 5 รวมกับตน
จะเห็นว่าในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช
ได้ส่งพระธรรมทูตสายที่ 5 คือ พระมหาธรรมรักขิตเถระไปยังรัฐมหาราษฎร์คือแถบเมืองออรังคบาดในปัจจุบันนี้
ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยนั้น ดังหลักฐานคือถ้ำอชันตาและเอลโลร่า
ที่เป็นหลักฐานร่องรอยความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้
บทสรุป
จากประวัติศาสตร์ที่กล่าวมานั้น
จะเห็นได้ว่าถ้ำอชันตา (Ajanta
Caves) คือศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาและศูนย์กลางการศึกษาพระธรรมวินัยในแถบอินเดียตะวันตก
เริ่มตั้งแต่ช่วง พ.ศ.350 จนถึงปี พ.ศ.1300
นับตั้งแต่สมัยพระพุทธศาสนาเถรวาทรุ่งเรือง (พ.ศ.400-600 หีนยานหรือเถรวาทมี 6 ถ้ำ
คือถ้ำหมายเลข 8,9,10,11,12,13 และ30 เป็นถ้ำที่เจาะยุคแรกเริ่ม) จนถึงสมัยมหายานเฟื่องฟู
(พ.ศ.1000-1200 ยุคมหายานเจาะเพิ่มอีก 24 ถ้ำ) ดินแดนแถบนี้เป็นคลังพระธรรมที่ทรงคุณค่า
เป็นศูนย์รวมอารยธรรมที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุด ศิลปกรรมที่นี่ ทั้งประติมากรรม
และจิตรกรรม ดีเด่นกว่าที่อื่น ๆ โดยเฉพาะภาพวาดที่อชันตา
เป็นที่นิยมแพร่ไปทางอัฟกานิสถาน (คันธาระและโยนก) เอเซียกลางจนถึงจีน แต่ทั้งนั้นเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล
จึงให้พระศาสนาแผ่ไพศาลไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้
มีคำกล่าวว่า “เมื่อเจริญถึงปลายสุด มันจะย้ายลงสู่จุดเดิม” อชันตา ก็เฉกเช่นกัน
เมื่อกาลผ่านฝนทั้งผู้คนมากมายหลายยุค ต่างความคิด ต่างความเชื่อ
ผนวกกับภัยภายนอกคือสงคราม ทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายไปจากดินแดนแถบนี้ สุดท้ายสถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่ากลายเป็นที่หลบภัยของสัตว์ป่า
เส้นทางสัญจรไม่มีแม้คนเดินผ่าน กลายเป็นเพียงตำนานให้เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น
และในที่สุดการค้นพบถ้ำอชันตาก็ทำให้โลกตะลึงสุดทึ่งในความอัศจรรย์
จนองค์การยูเนสโกจดทะเบียนให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลก
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เป็นจริงยิ่งหนอ เกิดขึ้นเบื้องต้น แปรปรวนท่ามกลาง
และสลายในที่สุด เราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท พึงช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกนี้ต่อไป
บรรณานุกรม
1.ภาษาไทย
กรุณา-เรืองอุไร
กุศลาศัย, อโศกมหาราชและข้อเขียนคนละเรื่องเดียวกัน, กรุงเทพฯ : ศยาม, 2539
ทรงวิทย์
แก้วศรี, พุทธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเทพฯ :
สถาบันส่งเสริมพุทธศาสน์, 2520
พระพรหมคุณาภรณ์
(ป.อ.ปยุตฺโต). กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก. พิมพ์ครั้งที่ 7/2. กรุงเทพฯ: 2558
พระมหาประภาส
ปริชาโน, มองพุทธให้เข้าใจใน ๕ นาที. กรุงเทพมหานคร : ธิงค์บียอนด์. 2552
_____________________, อินเดีย
เนปาล ดินแดนพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุภา
จำกัด. 2552
วศิน
อินทสระ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร, 2535
สุชาติ
หงษา,ดร., ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากอดีตสู่ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา. 2549
เสถียร
โพธินันทะ, ภูมิประวัติพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, 2515
ส. ศิวลักษณ์ แปลเรียบเรียง, ความเข้าใจเรื่องพระเจ้าอโศกและอโศกาวทาน.
กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการพิมพ์, 2547
2.ภาษาอังกฤษ
Abdul Nasir
Alamohammadi, Ajanta & Ellora. New Delhi : Mittal Publishing, 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น