หลักเมตตากับการระงับความโกรธ

หลักเมตตากับการระงับความโกรธ

พระมหาวันดี กนฺตวีโร (ปะวะเส)
ป.ธ.4,ศน.บ.(ปรัชญา),ศน.ม.(พุทธศาสนาและปรัชญา),Ph.D.( Buddhist Studies)
พระมหาสากล สุภรเมธี (เดินชาบัน)
ป.ธ.5,พธ.บ.(รัฐศาสตร์, M.A.(Philosophy), Ph.D.( Philosophy)
พระครูวินัยธร ธรรมรัตน์ เขมธโร (หาญณรงค์)
ป.ธ.1-2,ศน.บ.(ปรัชญา), M.A.(Philosophy), Ph.D.( Philosophy)

บทนำ
ปัญหาที่พบในสังคมปัจจุบันนี้ ก็คือ การทะเลาะวิวาทจนนำไปสู่การก่ออาชญากรรม จะเห็นได้ว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น จนกลายเป็นความขุ่นเคืองขัดใจกัน ขยายขึ้นเป็นความโกรธ ลุกลามกลายเป็นความพยาบาท อาฆาตมาดร้าย จนถึงการนำไปสู่การประทุษร้ายต่อชีวิตและร่างกาย เมื่อเกิดความโกรธแล้ว คนเราสามารถทำผิดศีลธรรมได้อย่างไม่สำนึกบาปบุญคุณโทษ สามารถฆ่าคน ปล้นจี้ ทำลายทรัพย์สินเขาให้เสียหาย ฉุดคร่าข่มขืนลูกเมียของคนอื่น พูดคำหยาบคาย โกหกมดเท็จได้อย่างไม่ละอาย คนโกรธย่อมก่อกรรมที่ ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย คนโกรธฆ่าบิดามารดาก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ก็ได้ ฆ่าตนเองก็ได้ ฆ่าใครต่อใครก็ได้ เรื่องที่ร้ายแรงหรือทารุณโหดร้ายขนาดไหน คนโกรธทำได้ทั้งนั้น ท่านจึง เรียกความโกรธ (โทสะ) นี้ว่าอกุศลมูล (ต้นตอความชั่วร้าย)
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งเมตตาการุณย์ พระพุทธเจ้ามีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่ง คือ พระมหากรุณา พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนหลักธรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ในปัจจุบันชาติ ในชาติต่อไป และเพื่อความหลุดพ้นในสังสารวัฏ หลักธรรมที่สำคัญเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันชาติและในชาติต่อไป คือ พรหมวิหาร คำว่า พรหม แปลว่า ประเสริฐ ส่วนคำว่า วิหาร แปลว่า ความประพฤติ ดังนั้น คำว่า พรหมวิหาร จึงหมายความว่า ความประพฤติอันประเสริฐ ด้วยการทำประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น หรือมีความหมายว่า การประพฤติอย่างพรหม โดยเป็นความประพฤติของผู้อบรมจิต ด้วยการเจริญเมตตาเป็นต้น พรหมวิหาร จึงเป็นคุณธรรมที่เหมาะสมกับคนทุกชาติทุกศาสนา ที่จะทำให้โลกนี้มีความสงบสุขไม่วุ่นวาย ลองคิดดูว่า ถ้ามีคนมาช่วยเหลืองานของเราให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เราจะปฏิเสธหรือไม่ คงไม่มีใครปฏิเสธเจตนาดีของคนอื่นเช่นนี้ ถ้าเรายิ้มแย้มทักทายผู้อื่นด้วยไมตรีจิต ผู้อื่นก็จะทักทายตอบด้วยไมตรีจิตเช่นกัน เมตตาจึงเป็นสิ่งที่คนทุกชาติทุกศาสนา ควรประพฤติแก่กันและกัน เพื่อทำให้สังคมสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาในพรหมวิหาร ๔ เป็นหลักธรรมเพื่อค้ำจุนโลกให้สงบร่มเย็น ชาวพุทธทุกคนได้รับการสั่งสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยกาย วาจา และมีน้ำใจปรารถนาดี แม้แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอื่น ก็ให้แผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวง ขอให้อยู่เป็นสุขปราศจากเวรภัยกันโดยทั่วหน้า
เมตตา คืออะไร คนทั่วไปมีความอ่อนแอทางใจ คือความเห็นแก่ตัวที่ฝังลึกอยู่ในใจของทุกคน อยากให้เราดีเด่นกว่าบุคคลอื่น แต่เมตตาเป็นความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างจริงใจโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้เราขจัดความเห็นแก่ตัวได้ คำนี้แปลตามศัพท์ ว่า สภาวะสนิทสนมกลมกลืนกัน คือ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา มีความกลมกลืนเหมือนเป็นบุคคลคนเดียวกันกับคนอื่น เปรียบได้กับน้ำผสมนม กล่าวคือ เมื่อผสมนมเข้ากับน้ำทั้งสองอย่าง ก็จะกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกกันไม่ได้ว่านี่คือน้ำหรือนม ผู้ที่มีเมตตาจิตต่อกันก็เหมือนกัน เขามีความสนิทสนมกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับบุคคลรอบข้าง ไม่แยกเขาแยกเรา และจะพยายามปฏิบัติตนโดยประพฤติกาย วาจา หรือใจให้เกิดประโยชน์กับบุคคลอื่น เหมือนที่เราต้องการให้เกิดขึ้นแก่ตัวเราเองกล่าวอีกอย่างหนึ่ง
คำว่า เมตตา ได้แก่ ความรัก กิริยาที่รัก ภาวะที่รัก ความเอ็นดู กิริยาที่เอ็นดู ภาวะที่เอ็นดู ความปรารถนาเกื้อกูลกัน ความอนุเคราะห์ ความไม่พยาบาท ความไม่ปองร้าย  กุศลมูลคือ อโทสะในหมู่สัตว์
เมตตา หมายถึง ไมตรี ความรัก ความหวังดี ความปรารถนาดี ความเข้าใจดีต่อกัน ความเอาใจใส่ใฝ่ใจหรือต้องการ ที่จะสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ว่าโดยสาระ เมตตา คือ ความอยากให้ผู้อื่นเป็นสุข และอยากทำให้เขาเป็นสุข
เมตตา คือ สภาวะที่มีแก่มิตร หมายความว่า เมตตาเป็นความปรารถนาดีอย่างจริงใจ เหมือนเรามีให้แก่มิตรของตนเอง ผู้ที่มีเมตตาจึงเป็นมิตรกับทุกคน ปราศจากความผูกโกรธหรือศัตรูในที่ใดๆ อีกอย่างหนึ่ง เมตตา คือ สภาวะที่เป็นมิตรหมายความว่า มิตรเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้แก่กันโดยไม่หวังผลตอบแทน เมตตาก็เป็นคุณธรรมของมิตรที่ทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เมตตาเป็นธรรมกลางๆ กลางทั้งในแง่ผู้ควรมีเมตตา และในแง่ผู้ควรได้รับเมตตา ทุกคนจึงควรมีต่อกันทั้งผู้น้อยต่อผู้ใหญ่และผู้ใหญ่ต่อผู้น้อย คนจนต่อคนมีและคนมีต่อคนจน ยาจกต่อเศรษฐีและเศรษฐีต่อยาจก คนฐานะต่ำต่อคนฐานะสูง และคนฐานะสูงต่อคนฐานะต่ำ คฤหัสถ์ต่อพระสงฆ์และพระสงฆ์ต่อคฤหัสถ์ เมตตาเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งทำให้มองกันในแง่ดีและหวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟังและพูดจาเหตุผลของกันและกัน ไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว หรือความเกลียดชังเป็นที่ตั้ง
เมตตา มีคู่ปรับสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ความโกรธ ความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้น คนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจตัวเอง เวลานั้นเมตตาหลบหายไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธทั้งที่ไม่ต้องการแต่ก็ไม่ยอมหนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร

ความหมายและลักษณะของความโกรธ
ความโกรธหมายถึง ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความขุ่นเคือง ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความชัง กิริยาที่ชังความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้ายความเพาะวาจาชั่ว ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต
ในธนัญชานีสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงลักษณะของความโกรธว่า มีรากเป็นพิษมียอดหวาน ที่ว่ามีรากเป็นพิษหมายความว่า ในเบื้องต้น ความโกรธจะแสดงพิษสงต่อจิตใจ ทำให้หงุดหงิด เร่าร้อน เดือดดาล จึงต้องรีบระบายความหงุดหงิด เร่าร้อน เดือดดาลออกไปโดยเร็ว ด้วยการด่าว่าทุบตี หรือทำลายบุคคล หรือสิ่งของ ที่เป็นต้นเหตุให้โกรธ เมื่อได้ทำจนสาแก่ใจแล้ว ในบั้นปลายจะรู้สึกโล่งใจ สบายใจ จึงเรียกว่ามียอดหวานความโกรธร้ายแรงกว่าอัคคีภัย ความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินอันเนื่องมาจากไฟภายในคือโทสะนั้น มีมากกว่าไฟภายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้ ลองนึกดูว่าในโลกที่มีประชากรหลายพันล้านคนนี้ วันหนึ่ง ๆ มีเพลิงโทสะเกิดขึ้นกี่ครั้ง เมื่อเพลิงโทสะเกิดขึ้น แทนที่จะทำให้สว่าง กลับทำจิตใจให้มืดมิดยิ่งขึ้น คนโกรธย่อมไม่รู้จักประโยชน์ของตนและของผู้อื่นชัดตามความเป็นจริง คนโกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย คนโกรธฆ่าบิดามารดาก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ก็ได้ ฆ่าตนเองก็ได้ ฆ่าใครต่อใครก็ได้ เรื่องที่ร้ายแรงหรือทารุณโหดร้ายขนาดไหน คนโกรธทำได้ทั้งนั้น

ลำดับขั้นของความโกรธ
เมื่อความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เราไม่มีสติรู้เท่าทัน ไม่รีบระงับเสีย ปล่อยให้ลุกลามมากขึ้น ๆในที่สุดก็ควบคุมไม่ได้ พระสารีบุตรได้แสดงขั้นตอนของความโกรธอย่างละเอียดดังนี้ ๑. ทำจิตให้ขุ่นมัว ๒. ทำให้หน้าเง้าหน้างอ หน้าบูดหน้าเบี้ยว ๓. ทำให้คางสั่น ปากสั่น ๔. เปล่งผรุสวาจา (คำหยาบ). เหลียวดูทิศต่าง ๆ เพื่อหาท่อนไม้ ๖. จับท่อนไม้และศาสตรา ๗. เงื้อท่อนไม้และศาสตรา ๘. ให้ท่อนไม้และศาสตราถูกต้อง (ผู้อื่น). ทำให้เป็นแผลเล็กแผลใหญ่ ๑๐. ทำให้กระดูกหัก ๑๑. ทำให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไป ๑๒. ทำให้ชีวิต (ผู้อื่น) ดับ ๑๓. ฆ่าผู้อื่น แล้วจึงฆ่าตน (ความโกรธขั้นสูงสุด)

สาเหตุของความโกรธ
สาเหตุที่ทำให้โกรธมีมากมาย เช่น ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ถูกหักหลังรังแก ถูกปัดแข้งปัดขา ถูกข้ามหน้าข้ามตาถูกด่าว่าเสียหาย ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกติฉินนินทา ฯลฯ สาเหตุแม้จะมีมาก จนดูเหมือนว่าไม่อาจจะบรรยายได้หมด แต่ในอาฆาตวัตถุสูตร กล่าวว่า สาเหตุแห่งความอาฆาตหรือความโกรธมีอยู่ ๑๐ ประการ คือ ๑. เขาเคยทำความเสียหายให้แก่เรา ๒. เขากำลังทำความเสียหายให้แก่เรา ๓. เขาจะทำความเสียหายให้แก่เรา ๔. เขาเคยทำความเสียหายให้แก่คนที่เรารัก ๕. เขากำลังทำความเสียหายให้แก่คนที่เรารัก ๖. เขาจะทำความเสียหายให้แก่คนที่เรารัก ๗. เขาเคยช่วยเหลือคนที่เราชัง ๘. เขากำลังช่วยเหลือคนที่เราชัง
. เขาจะช่วยเหลือคนที่เราชัง ๑๐. โกรธโดยไร้สาเหตุ (โกรธแม้สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ)

โทษของความโกรธ
ผู้ปฏิบัติพึงพิจารณาโทษของความโกรธ และความพยาบาท ตลอดจนคุณประโยชน์ของความอดทน ถ้าเคยพิจารณาตรึกตรองในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ถ้าบุคคลไม่พิจารณาเห็นโทษของความโกรธ ก็อาจรับความโกรธเอาไว้โดยไม่รู้ตัว และอาจถูกความโกรธเข้าครอบงำได้ในภายหน้า ยกตัวอย่างเช่น คนที่ยังขุ่นข้องหมองใจกับผู้ที่ทำให้ตนต้องเป็นทุกข์ หรือเสียผลประโยชน์ ก็เรียกได้ว่ากำลังคบความโกรธ หรือความอาฆาตพยาบาทไว้เป็นเพื่อนสนิท คนที่กำลังโกรธอยู่นี้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะพยายามขอโทษ หรือปลอบโยนด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวานก็ยังรู้สึกโกรธไม่หาย และอาจรู้สึกพอใจที่จะเก็บความโกรธนี้ไว้ในใจ ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งพยายามปลอบโยนขอโทษ ก็ยิ่งทำให้โกรธหนักขึ้น ซ้ำยังอาจกล่าวหาอีกฝ่ายว่าพยายามจะมาบังคับจิตใจเสียอีก อุปมาเหมือนคนที่เอางูพิษใส่ไว้ในถุงแล้วเหน็บเข้าเอวตนเองไว้ เก็บความโกรธไว้ในใจโดยไม่รู้ว่าความโกรธนั้นไม่ดีมีผลเป็นความทุกข์ ดังนั้น เพื่อให้สามารถสลัดความโกรธทิ้งไป จึงควรพิจารณาถึงโทษของความโกรธหรือความเจ็บใจ

การใช้หลักเมตตาธรรมและวิธีการแผ่เมตตา
การใช้หลักเมตตาธรรม และวิธีการแผ่เมตตานั้น พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนให้ทุกคนตั้งอยู่ในความรักเป็นหลักนั้น ก็คือ การแผ่ความรักและการเจริญความรักในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจิตเสมอกันในที่ทั้งปวงโดยการตั้งอยู่ในศีลในธรรมเป็นหลัก นั่นก็คือ การประพฤติสุจริตธรรม มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลาย ให้ความเคารพ สงเคราะห์กันและกัน ไม่วิวาทกัน มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทรงแสดงวิธีการใช้ และวิธีการแผ่เมตตา ๓ ประการ ดังนี้
. เมตตากายกรรม คือ จะทำสิ่งใด ก็ทำด้วยเมตตา ได้แก่การปฏิบัติดังนี้
) เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลี้ยงชีพ ให้ตั้งอยู่ในสัมมาอาชีวะ เป็นต้น
) เว้นจากการลักทรัพย์ การปล้น การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น การทุจริตต่อหน้าที่ การฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น
) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ไม่ผิดลูกผิดเมียเขา การไม่ทำร้ายขืนใจผู้อื่น ไม่ข่มเหงรังแกทางเพศ เป็นต้น
. เมตตาวจีกรรม คือ จะพูดสิ่งใด ก็พูดด้วยเมตตา ได้แก่การปฏิบัติดังนี้
) เว้นจากการพูดเท็จ พูดโกหก พูดให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปจากความจริง พูดหลอกลวงโดยหวัง
ทรัพย์สินเงินทองผู้อื่น เป็นต้น
) เว้นจากการพูดส่อเสียด พูดยุยงให้ผู้อื่นแตกแยกกัน สร้างความร้าวฉานให้ผู้อื่น เป็นต้น
) เว้นจากการพูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ คำอัปมงคล คำลบหลู่ผู้อื่น เป็นต้น
) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็น พูดว่าร้ายใส่ร้ายผู้อื่น ใส่ร้ายต่าง ๆ นาๆ เป็นต้น
. เมตตามโนกรรม คือ จะคิดสิ่งใด ก็คิดด้วยเมตตา ได้แก่การปฏิบัติดังนี้
) เว้นจากการคิดพยาบาท อาฆาตแค้นผู้อื่น ไม่คิดจองเวรผู้อื่น ทั้งที่เป็นศัตรูและไม่ใช่ศัตรู เป็นต้น
) เว้นจากการประทุษร้ายร่างกาย ทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น เป็นต้น
) เว้นจากการเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม สิ่งที่ไม่ดีไม่ควรทำก็อย่าคิดทำ สิ่งใดเดือดร้อนต่อ
ตัวเองและผู้อื่นก็อย่าคิดทำ เป็นต้น
จากที่กล่าวมาหลายท่านอาจคิดว่าการใช้หลักเมตตาธรรมและวิธีการแผ่เมตตานั้นจะต้องสวดมนต์
จะต้องขอพรหรืออ้อนวอนต่าง ๆ แท้ที่จริงไม่ใช่เลย วิธีการสวดมนต์ขอพรหรืออ้อนวอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ
การทำความดีเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วการใช้หรือการแผ่เมตตาธรรมนั้นขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติโดยมีความรักเป็นแกน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แผ่ความรักและเจริญความรักในสัตว์ทั้งหลาย มีจิตเสมอในสัตว์ทั้งในที่ทุกแห่งด้วยการตั้งมั่นอยู่ในสุจริตธรรม ดังที่ปรากฏในเมตตากถาว่าด้วยเมตตาว่า ผู้เจริญเมตตาแผ่ความรักไปสู่สัตว์ทั้งปวงด้วยอาการ ๘ อย่างนี้ คือ ๑. ด้วยเว้นความบีบคั้น ไม่บีบคั้นสัตว์ทั้งปวง ๒. ด้วยเว้นการฆ่า ไม่ฆ่าสัตว์ทั้งปวง ๓. ด้วยเว้นการทำให้เดือดร้อน ไม่ทำสัตว์ทั้งปวงให้เดือดร้อน ๔. ด้วยเว้นความย่ำยี ไม่ย่ำยีสัตว์ทั้งปวง ๕. ด้วยเว้นการเบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง ๖. ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีเวร อย่าได้มีเวรกัน ๗. จงเป็นผู้มีสุข อย่ามีทุกข์ ๘. จงมีตนเป็นสุข อย่ามีตนเป็นทุกข์
           
การแผ่เมตตาธรรมทางจิต
การแผ่เมตตาทางจิตนั้นคือ การตั้งจิตหรือการอธิษฐานจิตให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งที่เราชอบและไม่ชอบ ทั้งยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ ให้สัตว์เหล่านั้นมีความสุขปราศจากความทุกข์ทั้งหลาย มี ๓ ประการ คือ
. เมตตาเจโตวิมุติที่แผ่ไปโดยไม่เจาะจงบุคคล คือ การขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ เรียกว่า อโนธิโสผรณา
. เมตตาเจโตวิมุติที่แผ่ไปโดยเจาะจงบุคคล โดยอาการ ๕ อย่าง คือ การขอให้ผู้ชาย ผู้หญิง คนรวย คนจน เทวดาและภูตผีปิศาจทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ เรียกว่า โอธิโสผรณา
. เมตตาเจโตวิมุติที่แผ่ไปในทิศโดยอาการ ๗ อย่าง คือ การขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในทิศทั้ง ๑๐ ทิศ อยู่เย็นเป็นสุขไม่มีเวรไม่มีทุกข์ เรียกว่า ทิสาผรณา (อาการ ๗ อย่าง ได้แก่ ๑. ขอสตรีทั้งปวง, . ขอบุรุษทั้งปวง, . ขออารยชนทั้งปวง, . ขออนารยชนทั้งปวง,. ขอเทวดาทั้งปวง, . ขอมนุษย์ทั้งปวง, . ขอวินิบาตสัตว์ทั้งปวง (จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ มีสุขรักษาตนเถิด) (ทิศทั้ง ๑๐ ได้แก่ อุดร, อีสาน, บูรพา, อาคเนย์, ทักษิณ, หรดี, ปัจจิม, พายัพ, ทิศเบื้องบนและทิศเบื้องล่าง)
จึงกล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราได้รู้ว่า การไม่ทำความชั่วทั้งภายนอกและภายในโรค คือ ความ
ทุกข์อันได้แก่ ความเดือดร้อนทางกาย ทางใจ ก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อความทุกข์ไม่เกิดขึ้นความสุขคือ ความสุขกายสุขใจย่อมเกิดขึ้นกับตนเอง ต่อผู้อื่นและสัตว์อื่น เมื่อทุกคนต่างมีจิตที่สงบเย็นเป็นสันติ ปรารถนาความสุขแก่กันและกันความเร่าร้อน ความแก่งแย่ง ช่วงชิงก็จะลดน้อยและหมดไป

บุคคลที่ไม่ควรแผ่เมตตาให้ในเบื้องแรกของการปฏิบัติ
. บุคคลที่ไม่เป็นมิตรหรือผู้ที่เกลียดชัง (อปฺปิย)
. บุคคลที่ใกล้ชิดและเป็นที่รักมาก (อติปฺปิย)
. บุคคลที่เป็นกลางไม่เป็นที่รักหรือที่ชัง (มชฺฌตฺต)
. บุคคลที่เป็นศัตรู (เวรี)
เหตุผลคือเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากการแผ่เมตตาให้ศัตรูหรือบุคคลที่เกลียดชังเป็นการฝืนความรู้สึก ส่วนการแผ่เมตตาให้คนที่รักผูกพันมากและคนใกล้ชิด เช่น บุตร ธิดา หรือญาติพี่น้องนั้นยาก เพราะหากบุคคลผู้เป็นที่รักใคร่เกิดความทุกข์หรือป่วยไข้ขึ้นมาก็จะมักไม่สบายใจ สำหรับการจะแผ่ความปรารถนาดีให้คนที่ไม่รู้จักหรือเป็นกลางในแบบเดียวกับให้คนที่รักนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ส่วนผู้เป็นศัตรูยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะทันทีที่นึกถึง ก็จะจำได้ว่าผู้นั้นได้เคยทำผิดต่อเราไว้อย่างไร

บุคคลที่ไม่พึงแผ่เมตตาให้ในทุกเวลา คือ
. คนเพศตรงกันข้าม
. คนที่ตายแล้ว
ในขณะที่แผ่เมตตาให้คนเพศตรงกันข้ามนั้น อาจเกิดราคะขึ้นได้ ดังมีตัวอย่างในอดีตว่า บุตรของอำมาตย์ผู้หนึ่งได้ถามพระมหาเถระผู้เป็นอาจารย์ว่าข้าแต่ท่านอาจารย์ กระผมควรแผ่เมตตาไปในบุคคลใดพระมหาเถระตอบสั้นๆ ว่าควรแผ่เมตตาไปในบุคคลผู้เป็นที่รักจึงจะดีบุตรอำมาตย์ก็ได้กระทำตามคำแนะนำของอาจารย์ โดยสมาทานศีล ๘ แล้วเข้าไปนั่งบนอาสนะในห้องกรรมฐานแล้วปิดประตู หลังจากนั้นได้แผ่เมตตาให้ภรรยาซึ่งเป็นที่รักของตนด้วยจิตที่แน่วแน่ ในขณะที่แผ่เมตตาอย่างจดจ่อนั้น ราคะก็บังเกิดขึ้นในจิตอย่างรุนแรง ทำให้ต้องลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อจะไปหาภรรยา โดยลืมไปว่าประตูห้องปิดอยู่จึงเดินชนบานประตู ก็ยิ่งเกิดความพลุ่งพล่านเดือดดาลและทุบถีบผนังห้องอยู่ทั้งคืน ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ใช้คำว่า ทำการต่อสู้อยู่กับผนังห้องตลอดคืน (สพฺพรตฺตึ ภิตฺติยุทฺธมกาสิ) และได้กล่าวว่า ราคะเกิดขึ้นโดยแฝงมากับความเมตตา เพราะความผูกพันที่เกิดจากราคะนั้นมีพลังมาก จึงไม่ควรแผ่เมตตาไปในบุคคลเพศตรงกันข้าม อย่างไรก็ตาม การแผ่เมตตาเพียง ๕ ถึง ๑๐ ครั้ง เพื่อเป็นการเจริญกุศลและเพิ่มพูนบารมีนั้นอาจกระทำได้โดยไม่มีผลเสีย
ส่วนการห้ามแผ่เมตตาให้คนที่ตายแล้วนั้น เพราะไม่ทำให้เกิดอัปปนาฌานสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิที่แน่วแน่ หรือแม้แต่อุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิที่อ่อนกว่าอัปปนาฌานก็เกิดไม่ได้ ในอดีตกาลภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้เจริญเมตตาฌานไปให้อาจารย์ของตน แต่กลับไม่สามารถบรรลุฌานสมาธิซึ่งเคยบรรลุมาแล้ว เมื่อสอบถามเหตุผลจึงทราบว่า อาจารย์ท่านนั้นได้มรณภาพไปแล้ว หลังจากนั้นจึงได้เจริญเมตตาฌานไปยังบุคคลอื่น ก็สามารถบรรลุเมตตาฌานได้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แนะนำให้เจริญเมตตาฌานไปยังบุคคลที่ตายแล้ว

บุคคลที่ควรแผ่เมตตาให้เป็นอันดับแรก
ในลำดับแรก ควรแผ่เมตตาให้ตนเองก่อนด้วยคำภาวนาว่าขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์หรือขอข้าพเจ้าอย่ามีเวรกับใคร อย่าได้เบียดเบียนใคร อย่ามีความทุกข์ และรักษาตนอยู่เป็นสุขเถิดในการแผ่เมตตาให้ตนเองมีความสุขกายสุขใจนั้น ไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อเป็นการบำเพ็ญบารมี หรือเป็นการอบรมสมาธิ แต่มีเพื่อแสดงว่า สัตว์โลกทั้งหลายล้วนปรารถนาจะมีชีวิตที่เป็นสุข ปราศจากความทุกข์เหมือนกันทุกคน นี้คือเหตุผลที่คัมภีร์วิสุทธิมรรคสอนให้แผ่เมตตาให้ตนเองเป็นอันดับแรก ดังที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ในคาถานี้ว่า
บุคคลตั้งใจค้นหาทั่วทุกทิศ ก็ไม่พบใครซึ่งเป็นที่รักยิ่งกว่าตนในที่ไหนๆ เลย สัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นก็รักตนมากเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
หลังจากได้แผ่เมตตาให้ตนเองด้วยคำภาวนาตามตัวอย่างข้างต้นแล้ว ผู้ปฏิบัติพึงแผ่เมตตาให้แก่ครูหรืออาจารย์ ที่สมควรจะได้รับความเคารพรัก หรือให้แก่คุณปู่ คุณตา คุณพ่อ หรือคุณลุง เป็นต้น หรือในกรณีผู้ปฏิบัติที่เป็นหญิง ควรแผ่เมตตาให้แก่ คุณย่า คุณยาย คุณแม่ คุณป้า หรือคุณน้า เป็นต้น ด้วยคำภาวนาว่าขอท่านอาจารย์จงเป็นสุขๆ เถิด จงอย่ามีความทุกข์เลยหรือขอคุณปู่ คุณพ่อ และคุณลุง จงเป็นสุขๆ เถิดหรือในกรณีของผู้ปฏิบัติหญิง ก็ภาวนาว่าขอคุณยาย คุณแม่ และคุณป้า คุณน้า จงเป็นสุขๆ เถิด จงอย่ามีความทุกข์เลยวิธีนี้จะทำให้สามารถแผ่เมตตาได้ ๑ ครั้งในทุก ๓ วินาทีนอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติยังอาจแผ่เมตตาให้บุคคลอื่นที่เหมาะสมจะได้รับความเคารพรักก็ได้ในการแผ่เมตตานั้น ผู้ปฏิบัติพึงน้อมใจส่งความปรารถนาดีไปยังบุคคล แล้วภาวนาว่าขอท่านจงมีความสุขร้อยครั้ง พันครั้งหมื่นครั้ง ติดต่อกัน

การพิจารณาเพื่อระงับความโกรธ ๑๐ ประการ

ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ
. สอนตนเองให้นึกว่า พระพุทธเจ้าของเราทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ และทรงสอนชาวพุทธให้เป็นคนมีเมตตา เรามัวมาโกรธอยู่ ไม่ระงับความโกรธเสีย เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ไม่ทำตามอย่างพระศาสดา ไม่สมกับเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า จงรีบทำตัวให้สมกับที่เป็นศิษย์ของพระองค์ และจงเป็นชาวพุทธที่ดี
. พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนที่โกรธเขาก่อนก็นับว่าเลวอยู่แล้ว คนที่ไม่มีสติรู้เท่าทัน หลงโกรธตอบเขาไปอีก ก็เท่ากับสร้างความเลวให้ยืดยาวเพิ่มมากขึ้น นับว่าเลวหนักลงไปกว่าคนที่โกรธก่อนนั้นอีก เราอย่าเป็นทั้งคนเลว ทั้งคนเลวกว่า นั้นเลย
. พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนต่อไปอีกว่า เขาโกรธมาเราไม่โกรธตอบไป อย่างนี้เรียกว่า ชนะสงครามที่ชนะได้ยากเมื่อรู้ทันว่าคนอื่นหรืออีกฝ่ายหนึ่งเขาขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เรามีสติระงับใจไว้เสีย ไม่เคืองตอบ จะชื่อว่าเป็นผู้ทำประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย คือ ช่วยไว้ทั้งเขาและทั้งตัวเราเอง เพราะฉะนั้น เราอย่าทำตัวเป็นผู้แพ้สงครามเลย จงเป็นผู้ชนะสงคราม และเป็นผู้สร้างประโยชน์เถิด อย่าเป็นผู้สร้างความพินาศวอดวายเลย

ขั้นที่ ๒ พิจารณาโทษของความโกรธ ในขั้นนี้มีพุทธพจน์ตรัสสอนไว้มากมาย เช่นว่าคนขี้โกรธจะมีผิวพรรณไม่งาม คนขี้โกรธนอนก็เป็นทุกข์ ฯลฯ คนโกรธไม่รู้เท่าทันว่า ความโกรธนั้นแหละคือภัยที่เกิดขึ้นข้างในตัวเอง พอโกรธเข้าแล้วก็ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ โกรธเข้าแล้วมองไม่เห็นธรรม เวลาถูกความโกรธครอบงำ มีแต่ความมืดตื้อ คนโกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย แต่ภายหลังพอหายโกรธแล้ว ต้องเดือดร้อนใจเหมือนถูกไฟเผาแรกจะโกรธนั้น ก็แสดงความหน้าด้านออกมาก่อน เหมือนมีควันก่อนจะเกิดไฟ พอความโกรธแสดงเดชทำให้คนดาลเดือดได้ คราวนี้ละไม่มีกลัวอะไร ยางอายก็ไม่มี ถ้อยคำที่สุภาพไม่มี คารวะก็ไม่มี ฯลฯ คนโกรธ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองก็ได้ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าคนสามัญก็ได้ทั้งนั้น ลูกที่แม่เลี้ยงไว้จนได้ลืมตามองดูโลกนี้ แต่มีกิเลสหนา พอโกรธขึ้นมา ก็ฆ่าได้แม้แต่แม่ผู้ให้ชีวิตนั้น ฯลฯ” “กาลีใดไม่มีเท่าโทสะ ฯลฯ เคราะห์อะไรเท่าโทสะไม่มี ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายให้มากมาย อย่างพุทธพจน์นี้เป็นตัวอย่าง แม้เรื่องราวในนิทานต่างๆ และชีวิตจริงก็มีมากมาย ล้วนแสดงให้เห็นว่าความโกรธมีแต่ทำให้เกิดความเสียหายและความพินาศ ไม่มีผลดีอะไรเลยจึงควรฆ่ามันทิ้งเสีย อย่าเก็บเอาไว้เลย ฆ่าอะไรอื่นแล้ว อาจจะต้องมานอนเป็นทุกข์ ฆ่าอะไรอื่นแล้วอาจจะต้องโศกเศร้าเสียใจ แต่ ฆ่าความโกรธแล้วนอนเป็นสุข ฆ่าความโกรธแล้วไม่โศกเศร้าเลย

ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ ธรรมดาคนเรานั้น ว่าโดยทั่วไป แต่ละคนๆ ย่อมมีข้อดีบ้างข้อเสียบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง จะหาคนดีครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีข้อบกพร่องเลย คงหาไม่ได้หรือแทบจะไม่มีบางทีแง่ที่เราว่าดี คนอื่นว่าไม่ดี บางทีแง่ที่เราว่าไม่ดี คนอื่นว่าดี เรื่องราว ลักษณะหรือการกระทำของคนอื่นที่ทำให้เราโกรธนั้น ก็เป็นจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องของเขาอย่างหนึ่ง หรืออาจเป็นแง่ที่ไม่ถูกใจเรา เมื่อจุดนั้นแง่นั้นของเขาไม่ดีไม่ถูกใจเรา ทำให้เราโกรธ ก็อย่ามัวนึกถึงแต่จุดนั้นแง่นั้นของเขา พึงหันไปมองหรือระลึกถึงความดีหรือจุดอื่นที่ดีๆ ของเขา เช่นคนบางคน ความประพฤติทางกายเรียบร้อยดี แต่พูดไม่ไพเราะ หรือปากไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ประพฤติเกะกะระราน ทำร้ายใครบางคน แสดงออกทางกายกระโดกกระเดกไม่น่าดู หรือการแสดงออกทางกายเหมือนไม่มีสัมมาคารวะ แต่พูดจาดีสุภาพ หรือไม่ก็อาจพูดจามีเหตุมีผล บางคนปากร้ายแต่ใจดี บางคนสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ค่อยดี แต่เขาก็รักงาน ตั้งใจทำหน้าที่ของเขาดี บางคนถึงแม้คราวนี้เขาทำอะไรไม่สมควรแก่เรา แต่ความดีเก่าๆ เขาก็มี เป็นต้นถ้ามีอะไรที่ขุ่นใจกับเขา ก็อย่าไปมองส่วนที่ไม่ดีพึงมองหาส่วนที่ดีของเขาเอาขึ้นมาระลึกนึกถึง ถ้าเขาไม่มีความดีอะไรเลยที่จะให้มองเอาจริงๆ ก็ควรคิดสงสารตั้งความกรุณาแก่เขาว่า โธ่! น่าสงสาร ต่อไปคนคนนี้คงจะต้องประสบผลร้ายต่างๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้ นรกอาจรอเขาอยู่ ดังนี้เป็นต้น พึงระงับความโกรธเสียเปลี่ยนเป็นสงสารเห็นใจหรือคิดช่วยเหลือแทน

ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่า ความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง และเป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู
ธรรมดาศัตรูย่อมปรารถนาร้าย อยากให้เกิดความเสื่อมและความพินาศวอดวายแก่กันและกัน คนโกรธจะ
สร้างความเสื่อมพินาศให้แก่ตัวเองได้ตั้งหลายอย่าง โดยที่ศัตรูไม่ต้องทำอะไรให้ลำบากก็ได้สมใจของเขา เช่น ศัตรูปรารถนาว่า ขอให้มัน (ศัตรูของเขา) ไม่สวยไม่งาม มีผิวพรรณไม่น่าดูหรือ ขอให้มันนอนเป็นทุกข์ ขอให้มันเสื่อมเสียประโยชน์ ขอให้มันเสื่อมทรัพย์สมบัติ ขอให้มันเสื่อมยศขอให้มันเสื่อมมิตร ขอให้มันตายไปตกนรกเป็นต้น เป็นที่หวังได้อย่างมากว่า คนโกรธจะทำผลร้ายเช่นนี้ให้เกิดแก่ตนเองตามปรารถนาของศัตรูของเขา ด้วยเหตุนี้ ศัตรูที่ฉลาดจึงมักหาวิธีแกล้งยั่วให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธ จะได้เผลอสติทำการผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำเมื่อรู้เท่าทันเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะทำร้ายตนเองด้วยความโกรธ ให้ศัตรูได้สมใจเขาโดยไม่ต้องลงทุนอะไรในทางตรงข้าม ถ้าสามารถครองสติได้ ถึงกระทบอารมณ์ที่น่าโกรธก็ไม่โกรธ จิตใจไม่หวั่นไหว สีหน้าผ่องใสกิริยาอาการไม่ผิดเพี้ยน ทำการงานธุระของตนไปได้ตามปกติ ผู้ที่ไม่ปรารถนาดีต่อเรานั่นแหละจะกลับเป็นทุกข์ส่วนทางฝ่ายเราประโยชน์ที่ต้องการก็จะสำเร็จ ไม่มีอะไรเสียหายอาจสอนตัวเองต่อไปอีกว่า ถ้าศัตรูทำทุกข์ให้ที่ร่างกายของเจ้า แล้วไฉนเจ้าจึงมาคิดทำทุกข์ให้ที่ใจของตัวเอง ซึ่งมิใช่ร่างกายของศัตรูสักหน่อยเลย”“ความโกรธ เป็นตัวตัดรากความประพฤติดีงามทั้งหลายที่เจ้าตั้งใจรักษา เจ้ากลับไปพะนอความโกรธนั้นไว้ถามหน่อยเถอะ ใครจะเซ่อเหมือนเจ้า”“เจ้าโกรธว่าคนอื่นทำกรรมที่ป่าเถื่อน แล้วไยตัวเจ้าเองจึงมาปรารถนาจะทำกรรมเช่นนั้นเสียเองเล่า”“ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงแกล้งทำสิ่งไม่ถูกใจให้แล้วไฉนเจ้าจึงช่วยทำให้เขาสมปรารถนา ด้วยการปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นมาได้เล่า”“แล้วนี่ เจ้าโกรธขึ้นมาแล้ว จะทำทุกข์ให้เขาได้หรือไม่ก็ตาม แต่แน่ๆ เดี๋ยวนี้เจ้าก็ได้เบียดเบียนตัวเองเข้าแล้วด้วยความทุกข์ใจเพราะโกรธนั่นแหละ” “หรือถ้าเจ้าเห็นว่า พวกศัตรูขึ้นเดินไปในทางของความโกรธอันไร้ประโยชน์แล้ว ไฉนเจ้าจึงโกรธเลียนแบบเขาเสียอีกล่ะ”“ศัตรูอาศัยความแค้นเคืองใด จึงก่อเหตุไม่พึงใจขึ้นได้ เจ้าจงตัดความแค้นเคืองนั้นเสียเถิด จะมาเดือดร้อนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องไปทำไมจะพิจารณาถึงขั้นปรมัตถ์ก็ได้ว่าขันธ์เหล่าใดก่อเหตุไม่พึงใจแก่เจ้า ขันธ์เหล่านั้นก็ดับไปแล้ว เพราะธรรมทั้งหลายเป็นไปเพียงชั่วขณะ แล้วทีนี้เจ้าจะมาโกรธให้ใครกันในโลกนี้”“ศัตรูจะทำทุกข์ให้แก่ผู้ใด ถ้าไม่มีตัวตนของผู้นั้นมารับทุกข์ ศัตรูนั้นจะทำทุกข์ให้ใครได้ ตัวเจ้าเองนั่นแหละเป็นเหตุของทุกข์อยู่ฉะนี้ แล้วทำไมจะไปโกรธเขาเล่าถ้าพิจารณาอย่างนี้ก็ยังไม่หายโกรธ ก็ลองพิจารณาขั้นต่อไป

ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน พึงพิจารณาว่า ทั้งเราและเขาต่างก็มีกรรมเป็น
สมบัติของตน ทำกรรมอะไรไว้ก็จะได้รับผลของกรรมนั้นเริ่มด้วยพิจารณาตัวเองว่า เราโกรธแล้วไม่ว่าจะทำอะไรการกระทำของเรานั้นเกิดจากโทสะ ซึ่งเป็นอกุศลมูลกรรมของเราก็ย่อมเป็นกรรมชั่วซึ่งก่อให้เกิดผลร้าย มีแต่ความเสียหาย ไม่เป็นประโยชน์ และเราจะต้องรับผลของกรรมนั้นต่อไปอนึ่ง เมื่อเราจะทำกรรมชั่วที่เกิดจากโทสะนั้น ก่อนเราจะทำร้ายเขา เราก็ทำร้ายแผดเผาตัวเราเองเสียก่อนแล้วเหมือนเอามือทั้งสองกอบถ่านไฟจะขว้างใส่คนอื่น ก็ไหม้มือของตัวก่อน หรือเหมือนกับเอามือกอบอุจจาระจะไปโปะใส่เขา ก็ทำตัวนั่นแหละให้เหม็นก่อนเมื่อพิจารณาความเป็นเจ้าของกรรมฝ่ายตนเองแล้วก็พิจารณาฝ่ายเขาบ้างในทำนองเดียวกัน เมื่อเขาโกรธเขาจะทำกรรมอะไรก็เป็นกรรมชั่ว และเขาก็จะต้องรับผลกรรมของเขาเองต่อไป กรรมชั่วนั้น จะไม่ช่วยให้เขาได้รับผลดีมีความสุขอะไร มีแต่ผลร้าย เริ่มตั้งแต่แผดเผาใจของเขาเองเป็นต้นไปในเมื่อต่างคนต่างก็มีกรรมเป็นของตน เก็บเกี่ยวผลกรรมของตนเองอยู่แล้ว เราอย่ามัวคิดวุ่นวายอยู่เลยตั้งหน้าทำแต่กรรมที่ดีไปเถิดถ้าพิจารณากรรมแล้ว ความโกรธก็ยังไม่ระงับ พึงพิจารณาขั้นต่อไป

ขั้นที่ ๖ พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของเรานั้น กว่าจะตรัสรู้ ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายมาตลอดเวลายาวนานนักหนา ได้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยยอมเสียสละแม้แต่พระชนม์ชีพของพระองค์เอง เมื่อทรงถูกข่มเหงกลั่นแกล้งเบียดเบียนด้วยวิธีการต่างๆ ก็ไม่ทรงแค้นเคือง ทรงเอาดีเข้าตอบ ถึงเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรู ถึงขนาดพยายามปลงพระชนม์ ก็ไม่ทรงมีจิตประทุษร้าย บางครั้งพระองค์ช่วยเหลือเขา แทนที่เขาจะเห็นคุณเขากลับทำร้ายพระองค์ แม้กระนั้น ก็ไม่ทรงถือโกรธ ทรงทำดีต่อเขาต่อไป พุทธจริยาเช่นที่ว่ามานี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปยากที่จะปฏิบัติได้ แต่ก็เป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งชาวพุทธควรจะนำมาระลึกตักเตือนสอนใจตน ในเมื่อประสบเหตุการณ์ต่างๆ ว่าที่เราถูกกระทบกระทั่งอยู่นี้ เมื่อเทียบกับที่พระพุทธเจ้าทรงประสบมาแล้ว นับว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เทียบกันไม่ได้เลยในเมื่อเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประสบนั้นร้ายแรงเหลือเกิน พระองค์ยังทรงระงับความโกรธไว้มีเมตตาอยู่ได้ แล้วเหตุไฉนกรณีเล็กน้อยอย่างของเรานี้ ศิษย์อย่างเราจะระงับไม่ได้ ถ้าเราไม่ดำเนินตามพระจริยาวัตรของพระองค์ ก็จะไม่สมควรแก่การที่อ้างเอาพระองค์เป็นพระศาสดาของตน พุทธจริยาวัตรเกี่ยวกับความเสียสละอดทน และความมีเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้า อย่างที่ท่านบันทึกไว้ในชาดก มีมากมายหลายเรื่อง และส่วนมากยืดยาวไม่อาจนำมาเล่าในที่นี้ได้ จะขอยกตัวอย่างชาดกง่ายๆ สั้นๆ มาเล่าพอเป็นตัวอย่าง
ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์อุบัติเป็นวานรใหญ่อยู่ในป่า ครานั้นชายผู้หนึ่งตามหาโคของตนเข้ามาในกลางป่าแล้วพลัดตกลงไปในเหวขึ้นไม่ได้ อดอาหารนอนแขม่วสิ้นหวังสิ้นแรง พอดีในวันที่สิบ พญาวานรมาพบเข้า เกิดความสงสาร จึงช่วยให้ขึ้นมาจากเหวได้ต่อมา เมื่อพญาวานรซึ่งเหนื่อยอ่อนจึงพักผ่อนเอาแรง และนอนหลับไป ชายผู้นั้นเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นว่าลิงนี้มันก็อาหารของคน เหมือนสัตว์ป่าอื่นๆ นั่นแหละ อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิด กินอิ่มแล้วจะได้ถือเอาเนื้อมันติดตัวไปเป็นเสบียงด้วย จะได้มีของกินเดินทางผ่านที่กันดารไปได้คิดแล้วก็หาก้อนหินใหญ่มาก้อนหนึ่ง ยกขึ้นทุ่มหัวพญาวานร ก้อนหินนั้นทำให้พญาวานรบาดเจ็บมาก แต่ไม่ถึงตาย พญาวานรตื่นขึ้น รีบหนีขึ้นต้นไม้ มองชายผู้นั้นด้วยน้ำตานอง แล้วพูดกับเขาโดยดี ทำนองให้ความคิดว่า ไม่ควรทำเช่นนั้น ครั้นแล้วยังเกรงว่าชายผู้นั้นจะหลงหาทางออกจากป่าไม่ได้ ทั้งที่ตนเองก็เจ็บปวดแสนสาหัส ยังช่วยโดดไปตามต้นไม้นำทางให้ชายผู้นั้นออกจากป่าไปได้

ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ มีพุทธพจน์แห่งหนึ่งว่า ในสังสาระ คือการเวียนว่ายตายเกิดที่กำหนดจุดเริ่มต้นมิได้นี้ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดาไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดากัน มิใช่หาได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีเหตุโกรธเคืองจากใครพึงพิจารณาว่า ท่านผู้นี้บางทีจะเคยเป็นมารดาของเราท่านผู้นี้บางทีจะเคยเป็นบิดาของเรา ท่านที่เป็นมารดานั้นรักษาบุตรไว้ในท้องถึง ๑๐ เดือน ครั้นคลอดออกมาแล้ว เลี้ยงดู ไม่รังเกียจแม้แต่สิ่งปฏิกูลทั้งหลาย เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูกเป็นต้น เช็ดล้างได้สนิทใจ ให้ลูกนอนแนบอก เที่ยวอุ้มไปเลี้ยงลูกมาได้ส่วนท่านที่เป็นบิดา ก็ต้องเดินทางลำบากตรากตรำเสี่ยงภัยอันตรายต่างๆ ประกอบการค้าขายบ้าง สละชีวิตเข้าสู้รบในสงครามบ้าง แล่นเรือไปในท้องทะเลบ้าง ทำงานยากลำบากอื่นๆ บ้าง หาทางรวบรวมทรัพย์มาก็ด้วยคิดจะเลี้ยงลูกน้อยถึงแม้ไม่ใช่เป็นมารดาบิดา ก็อาจเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเป็นมิตร ซึ่งได้เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน การที่จะทำใจร้ายและแค้นเคืองต่อบุคคลเช่นนั้นไม่เป็นการสมควร

ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา ธรรมที่ตรงข้ามกับความโกรธ ก็คือ เมตตา ความโกรธมีโทษก่อผลร้ายมากมาย ฉันใด เมตตาก็มีคุณ ก่อให้เกิดผลดีมาก ฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรที่จะระงับความโกรธเสีย แล้วตั้งจิตเมตตาขึ้นมาแทน ให้เมตตานั้นแหละช่วยกำจัด และป้องกันความโกรธ ผู้มีจิตเมตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่น ซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ไม่กลับแพ้ ผู้ตั้งอยู่ในเมตตา ชื่อว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เมตตาทำให้จิตใจสดชื่นผ่องใส มีความสุข ดังตัวอย่างในที่แห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ ประการ คือ หลับก็เป็นสุข๑ ตื่นก็เป็นสุข๑ ไม่ฝันร้าย๑ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย๑ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย๑ เทวดารักษา๑ ไฟ พิษ และศัสตราไม่กล้ำกราย๑ จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้รวดเร็ว๑ สีหน้าผ่องใส๑ ตายก็มีสติไม่หลงฟั่นเฟือน๑ เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่าย่อมเข้าถึงพรหมโลก๑ ถ้ายังเป็นคนขี้โกรธอยู่ ก็นับว่ายังอยู่ห่างไกลจากการที่จะได้อานิสงส์เหล่านี้ ดังนั้น จึงควรพยายามทำเมตตาให้เป็นธรรมประจำใจให้จงได้ โดยหมั่นฝึกอบรมทำใจอยู่เสมอๆ

ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ วิธีการข้อนี้ เป็นการปฏิบัติใกล้แนววิปัสสนา หรือเอาความรู้ทางวิปัสสนามาใช้ประโยชน์ คือ มองดูชีวิตนี้ มองดูสัตว์ บุคคล เรา เขา ตามความเป็นจริงว่า ที่ถูกที่แท้แล้วก็เป็นแต่เพียงส่วนประกอบทั้งหลายมากมายมาประชุมกันเข้า แล้วก็สมมติเรียกกันไปว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นฉันเป็นเธอ เป็นเรา เป็นเขา เป็นนาย ก. นาง ข. เป็นต้น ครั้นจะชี้ชัดลงไปที่ตรงไหนว่าเป็นคน เป็นเรา เป็นนาย ก. นาง ข.ก็หาไม่พบ มีแต่ส่วนที่เป็นธาตุแข็งบ้าง ธาตุเหลวบ้าง เป็นรูปขันธ์บ้าง เป็นเวทนาขันธ์บ้าง เป็นสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ หรือวิญญาณขันธ์บ้าง หรือเป็นอายตนะต่างๆ เช่น ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง เป็นต้น เมื่อพิจารณาตามความจริงแยกให้เป็นส่วนๆ ได้อย่างนี้แล้ว พึงสอนตัวเองว่า นี่แน่ะเธอเอ๋ย ก็ที่โกรธเขาอยู่น่ะโกรธอะไร โกรธผม หรือโกรธขน หรือโกรธหนัง โกรธเล็บโกรธกระดูก โกรธธาตุดิน โกรธธาตุน้ำ โกรธธาตุไฟ โกรธธาตุลม หรือโกรธรูป โกรธเวทนา โกรธสัญญา โกรธสังขารโกรธวิญญาณ หรือโกรธอะไรกันในที่สุดก็จะหาฐานที่ตั้งของความโกรธไม่ได้ ไม่มีที่ยึดที่เกาะให้ความโกรธจับตัวอาจพิจารณาต่อไปในแนวนั้นอีกว่า ในเมื่อคนเราชีวิตเราเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ ความจริงก็มีแต่ธาตุ หรือขันธ์ หรือนามธรรมและรูปธรรมต่างๆ มาประกอบกันเข้าแล้วเราก็มาติดสมมตินั้น ยึดติดถือมั่นหลงวุ่นวายทำตัวเป็นหุ่นถูกชักถูกเชิดกันไป การที่มาโกรธ กระฟัดกระเฟียดงุ่นง่านเคืองแค้นกันไปนั้น มองลงไปให้ถึงแก่นสาร ให้ถึงสภาวะความเป็นจริงแล้ว ก็เหลวไหลไร้สาระทั้งเพ ถ้ามองความจริงทะลุสมมติบัญญัติลงไปได้ถึงขั้นนี้แล้ว ความโกรธก็จะหายตัวไปเองอย่างไรก็ตาม คนบางคนจิตใจและสติปัญญายังไม่พร้อม ไม่อาจพิจารณาแยกธาตุออกไปอย่างนี้ได้ หรือสักว่าแยกไปตามที่ได้ยินได้ฟังได้อ่านมา แต่มองไม่เห็นความจริงเช่นนั้น ก็แก้ความโกรธไม่สำเร็จ

ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทาน คือ การให้หรือแบ่งปันสิ่งของ ขั้นนี้เป็นวิธีการในขั้นลงมือทำ เอาของของตนให้แก่คนที่เป็นปรปักษ์ และรับของของปรปักษ์มาเพื่อตน หรืออย่างน้อยอาจให้ของของตนแก่เขาฝ่ายเดียว ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรมีปิยวาจา คือ ถ้อยคำสุภาพไพเราะ ประกอบเสริมไปด้วยการให้หรือแบ่งปันกันนี้ เป็นวิธีแก้ความโกรธที่ได้ผลชะงัด สามารถระงับเวรที่ผูกกันมายาวนานให้สงบลงได้ ทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร เป็นเมตตากรุณาที่แสดงออกในการกระทำ ท่านกล่าวถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ของทานคือการให้นั้นว่าการให้เป็นเครื่องฝึกคนที่ยังฝึกไม่ได้ การให้ยังสิ่งประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ ผู้ให้ก็เบิกบานขึ้นมาหาด้วยการให้ ฝ่ายผู้ได้รับก็น้อมลงมาพบด้วยปิยวาจาเมื่อความโกรธเลือนหาย ความรักใคร่ก็เข้ามาแทนความเป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตร ไฟพยาบาทก็กลายเป็นน้ำทิพย์แห่งเมตตา ความแผดเผาเร่าร้อนด้วยทุกข์ที่เร้ารุมใจ ก็กลายเป็นความสดชื่นผ่องใสเบิกบานใจด้วยความสุข

วิธีทั้ง ๑๐ ที่ว่ามาเป็นขั้นๆ นี้ ความจริงมิใช่จำเป็นต้องทำไปตามลำดับเรียงรายข้ออย่างนี้ วิธีใดเหมาะ ได้ผลสำหรับตน ก็พึงใช้วิธีนั้น วิธีการท่านก็ได้แนะนำไว้อย่างนี้แล้ว เป็นเรื่องของผู้ต้องการแก้ปัญหา จะพึงนำไปใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แท้จริงต่อไป

อ้างอิง
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปิฎก (. . ปยุตฺโต)
พระพรหมคุณาภรณ์ ป.. ปยุตฺโต ทำอย่างไรจะหายโกรธ พิมพ์ที่ บริษัท สำนักพิมพ์สุภา จำกัด ๑๑๘ ซอย ๖๘ ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ๑๐๗๐๐
พรหมวิหาร พระคันธสาราภิวงศ์ : แปลและเรียบเรียง  ๓๗ วัดท่ามะโอ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองจังหวัดลำปาง ๕๒๐๐๐
พุทธวิธีชนะความโกรธ, ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ ; วัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร พิมพ์ครั้งที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๑
เมตตาธรรมบำบัดโรค : นิตยสารยุทธโกษ ปีที่ ๑๒๓ ฉบับที่ ๒ ประจำเดือนมกราคม - มีนาคม ๒๕๕๘

ไม่มีความคิดเห็น:

วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ Journal of Buddhist philosophy evolved

เปรียบเทียบธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญากับปรัชญาของอริสโตเติล COMPARING HUMAN NATURE TO BUDDHIST PHILOSOPHY AND ARISTOTLE'S PHILOS...