วิเคราะห์กำเนิดและพัฒนาการพุทธศิลปวัตถุในอินเดีย
Analysis
of the origins and development of
Buddhist
artifacts in India
พระมหาประภาส ปริชาโน (แก้วเกตุพงษ์)
Phramaha Prapas Kaewketpong
บัณฑิตวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด
E-mail : purepas@hotmail.com
บทนำ
พุทธศิลป์
หมายถึง งานศิลปะประเภทต่างๆ ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรม
ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่และการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาโดยตรงและเป็นสิ่งช่วยโน้มน้าวจิตใจของพุทธศาสนิกชน
ให้เกิดความศรัทธา ประพฤติปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีงาม ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พุทธศิลป์อินเดียมีความโดดเด่นเฉพาะ
เพื่อมีจุดมุ่งหมายทำให้ทราบถึงเนื้อหา วิธีการนำเสนอสื่อสัญลักษณ์และจุดมุ่งหมายของงานพุทธศิลป์
โดยมีจุดประสงค์ที่บอกเล่าเรื่องราว เป็นสิ่งเคารพบูชาแทนพระพุทธองค์
และใช้เพื่อประกอบกิจกรรม โดยผ่านงานสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรม สื่อสัญลักษณ์
คือ เส้น สี รูปทรง พื้นผิว แสงเงา วัสดุ เพื่อจรรโลงใจ เกิดความศรัทธา
เข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ความเป็นมา
พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นและมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในทางภาคเหนือของประเทศอินเดียเมื่อประมาณ
๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา
สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น
ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการก่อสร้างพระพุทธรูป หรือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์แต่อย่างใด
มีพียงศิลปกรรมที่เกิดจากอิทธิพลคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่เป็นสถาปัตยกรรม
ที่สร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์สำหรับใช้สอยเท่านั้น (พระมหาวิชาญ เลี่ยวเส็ง, ๒๕๔๔ : ๑๖)
ในบรรดาพุทธศิลปวัตถุทั้งหมดนั้นวัดถือว่าเป็นพุทธศิลป์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธศิลปวัตถุทั้งหมด
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อว่า
ธัมมจักกัปปวัตนสูตรโปรดภิกษุปัญจวัคคีย์จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและทูลขออุปสมบทเป็น
“ปฐมสาวก” องค์แรกในพระพุทธศาสนาต่อจากนั้นวันต่อๆ มาพระพุทธเจ้าทรงแสดงปกิณณกเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ที่เหลือจนทุกรูปได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
จากนั้นพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าอินทรีย์ของพระภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นแก่กล้าแล้ว
จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่ออนัตตลักขณสูตรโปรดพระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้งหมดเหล่านั้นเมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้วท่านเหล่านั้นทั้งหมดจึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในพรรษาแรกแห่งการตรัสรู้
พระพุทธเจ้าและพระภิกษุปัญจวัคคีย์ทรงจำพรรษาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงอนุปุพพิกถาโปรดพระยสะจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์และพระธรรมเทศนานี้เองทำให้บิดามารดาตลอดจนภรรยาของยสกุลบุตรได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
ประกาศตนเป็นอุบาสกและอุบาสิกาคนแรกในพระพุทธศาสนา ต่อจากนั้นสหายของพระยสะอีกจำนวน
๕๔ คน เมื่อทราบข่าวการบวชของพระ
ยสะจึงเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์
หลังจากฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วท่านเหล่านั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากออกพรรษาแล้วพระพุทธองค์ทรงส่งพระสาวกจำนวน
๖๐ รูปเหล่านั้น ไปประกาศพระศาสนาและตรัสสั่งภิกษุเหล่านั้นว่า
“ภิกษุทั้งหลายเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง
ทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์แม้เธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์
พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์และเพื่อความสุขแก่ชนเป็นจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปโดยทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น
มีความงามในท่ามกลาง และมีความงามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ
บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในตาน้อยมีอยู่ย่อมเลื่อมเพราะไม่ได้ฟังธรรมจักมีผู้รู้ธรรมภิกษุทั้งหลายแม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม
(วิ.ม. ๔/๓๒/๔๐)
หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนาไม่นานได้มีผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุจำนวนมาก
ต่อมาพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารและข้าราชบริพารพร้อมทั้งประชาชนชาวมคธจนได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายสวนไผ่
ซึ่งเป็นพระราชอุทยานของพระองค์ให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกด้วยพระดำรัสว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถวายสวนเวฬุวันนั้น
แด่พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขพระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ทรงรับอารามนั้น
แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาถวาย พระเจ้าพิมพิสารอาจหาญรื่นเริงแล้วทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตอาราม” (เล่มเดียวกัน,
๕๙/๗๑-๗๒)
หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงถวายสวนเวฬุวันให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์แล้วทรงพิจารณาเห็นว่าพระอารามแห่งนั้นไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ
เป็นพื้นที่ประกอบไปด้วยป่า ต้นไม้และภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าละเมาะ และลอมฟาง ซึ่งพระภิกษุสงฆ์ได้อาศัยอยู่ในที่นั้น
ต่อมา เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์จึงได้สร้างวิหารให้เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์
ในสมัยตอนต้นแห่งการตรัสรู้นั้น
ยังมีพระภิกษุจำนวนไม่มากนักและพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติเสนาสนะแก่ภิกษุทั้งหลาย
การอยู่ของพระภิกษุทั้งหลายในสมัยนั้นจึงอยู่ตามป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า
ป่าชัฏ ที่แจ้ง หรือลอมฟาง เป็นต้น
วันหนึ่งเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ได้เดินทางไปสวนเวฬุวันแต่เช้าตรู่ได้เห็นภิกษุเหล่านั้นเดินออกมาจากที่อยู่ของตน
จึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสและเรียนถามว่าหากตนจะสร้างวิหารถวายให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์จะได้หรือไม่
พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นจึงแจ้งให้เศรษฐีผู้นั้นทราบว่าพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษาในวิหาร
จากนั้นเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ผู้นี้ จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและกราบทูลความประสงค์ของตนให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุสามารถอยู่จำพรรษาในเสนาสนะได้ดังพระดำรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเสนาสนะ ๕ ชนิด คือ วิหาร เรือนมุงแถบเดียวเรือนชั้น
เรือนโล้นและถ้ำ” (วิ.จู. ๗/๒๐/๕๕)
ภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตเสนาสนะ
๕ ชนิด ให้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุแล้วคฤหบดีชาวเมืองราชคฤห์ผู้นี้ ได้สร้างวิหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์อีกเป็นจำนวน
๖๐ หลัง จึงนับได้ว่าวัดแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของพุทธศิลป์ในพระพุทธศาสนาภายหลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อยู่วัดแล้ว
ต่อมาจึงมีบุคคลอื่นๆ ที่มีความศรัทธาเลื่อมใสและเห็นความจำเป็นที่พระภิกษุจะต้องมีวัดเป็นที่อยู่จำพรรษาอีกหลายท่านเช่น
ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีได้สร้างวัดพระเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขาได้สร้างวัดปุพพารามในเมืองสาวัตถี
เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่นั้น มีวัดอีกหลายแห่งที่ผู้มีจิตศรัทธาถวาย
เช่น วัดชีวกัมพวัน สร้างถวายโดยหมอชีวกโกมารภัจจ์ วัดโฆสิตาราม สร้างถวายโดยโฆสกเศรษฐี
ชาวเมืองโกสัมพี และวัดนิโครธาราม สร้างถวายโดยพระประยูรญาติชาวศากยวงศ์และวัดที่ปรากฏเป็นวัดสุดท้าย
คือ วัดอัมพปาลีวัน ซึ่งสร้างถวายโดยหญิงงามเมืองชาวเมืองเวสาลี ชื่ออัมพปาลี
ตำนานการสร้างพุทธศิลป์
จากการศึกษาหลักฐานที่ปราฏกในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
คือ พระไตรปิฎก นั้นวัดในสมัยที่พระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระพุทธศาสนานั้น เป็นสถานที่สร้างเพื่อการใช้สอยตามความจำเป็น
ซึ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติสมณธรรม ไม่มีความหรูหรา หรือวิจิตรพิสดารแต่อย่างใด
เป็นสถานที่สร้างด้วยความเรียบง่าย มุ่งประโยชน์ในการใช้สอยเป็นสำคัญเช่น เป็นที่ป้องกันความหนาว
ความร้อน จากลมฝนและแสงแดด ตลอดจนสัตว์ร้ายชนิดอื่นๆที่จะมาเบียดเบียนทำร้าย การถวายที่อยู่แก่พระสงฆ์จัดเป็นประโยชน์สูงสุด
เพื่อเป็นที่หลีกเร้นในที่อันสงัด เพื่อการเพ่งพิจารณา และเพื่อความเห็นแจ้ง พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญว่าเป็นทานอันเลิศ
(เล่มเดียวกัน, ๒๐๒ : ๕๖)
จากการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นมาของวัดในพระพุทธศาสนานั้นจะเห็นว่า
มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับและต่อเนื่องโดยเริ่มแรกจากพื้นที่เป็นป่าอันเงียบสงัด ต่อมา
จึงมีการเพิ่มเติมก่อสร้างสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับการใช้สอย เพื่อสะดวกในการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุ
การก่อสร้างวัดจึงมีความสวยงามวิจิตรพิสดารมากขึ้นตามลำดับ และถือว่าการสร้างวัดอันเป็นศาสนสถานเหล่านี้
เป็นการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ คือ ทานมัย ได้แก่ บุญอันสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ที่ประกอบด้วยจิตศรัทธาอันเป็นกุศลพร้อมด้วยสติปัญญาและฝีมือเชิงช่างของบุคคลดังกล่าว
เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและฝากฝีมือไว้ในแผ่นดินให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและถือเป็นแบบอย่าง
วัดจึงกลายเป็นที่รวมของศิลปวัฒนธรรมของชาติที่ได้รับการทำนุบำรุงและรักษาสืบสานด้านวัฒนธรรมมาเป็นเวลาช้านานและเป็นบ่อเกิดแห่งความศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ตั้งแต่อดีตจนกระทั้งปัจจุบันนี้
ในครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้นมีหลักฐานที่แสดงว่าพระสถูปหรือเจดีย์เกิดขึ้นแล้ว
หลังจากที่พระพาหิยะทารุจิริยะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว
พระพาหิยะทารุจิริยะได้ทูลขอการอุปสมบทกับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสให้พระพาหิยะทารุจิริยะไปหาบาตรและจีวรให้ครบเสียก่อนพระองค์จึงจะประทานการอุปสมบทให้
ขณะที่พระพาหิยะทารุจิริยะกำลังหาบาตรและจีวรอยู่นั้นเอง ท่านถูกวัวบ้าขวิดเป็นเหตุให้ท่านต้องปรินิพพาน
ครั้งแรกไม่มีใครทราบท่านเป็นพระอรหันต์ แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่หมู่พระภิกษุที่ทูลถามถึงคติภพที่เกิดของท่านว่า
พระพาหิยะทารุจิริยะเป็นพระอรหันต์หลังจากที่ทำการฌาปนกิจศพของท่านเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งให้สร้างสถูปหรือเจดีย์
เพื่อบรรจุอัฐิของท่านไว้ที่ทางสี่แพร่ง เพื่อให้พุทธบริษัทได้สักการบูชา (ขุ.ธ. ๒๕/๔๗-๕๐/๕๗-๖๐)
นอกจากนั้น
พระสารีบุตรซึ่งเป็นพระอัครสาวกเบื้องขาวและพระโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เมื่อรู้ว่าจะต้องนิพพานก็มากราบทูลลาพระพุทธเจ้า
ภายหลังการปรินิพพานและฌาปนกิจศพเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าทรงให้นำอัฐิธาตุของพุทธสาวกทั้งสอง
บรรจุไว้ในเจดีย์ที่ซุ้มประตูวัดพระเชตวันมหาวิหาร (พระพิมลธรรม (ชอบ อนุจารี),
๒๕๓๓ : ๑๖๗-๑๖๘)
กำเนิดพุทธศิลป์
ส่วนพุทธศิลปวัตถุที่เป็นประติมากรรม
เช่น พระพุทธรูปนั้นที่ปรากฏในครั้งที่พระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ปราบพยศเดียรถีย์ในเมืองสาวัตถี
โดยการเนรมิตรูปของพระองค์อยู่ในอิริยาบถต่างๆ เป็นคู่ๆ แล้ว (ขุ.ป. ๓๑/๒๘๔/๑๐๐)
หลังจากนั้น ทรงใคร่ครวญว่าพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายเมื่อทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์แล้วจึงทรงเสด็จเข้าจำพรรษา
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาตลอดระยะเวลา ๓ เดือน
โดยไม่มีการหยุดพักเลย ในช่วงเวลาที่เสด็จบิณฑบาตทรงเนรมิตพระพุทธอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า
พระพุทธเนรมิต แสดงพระอภิธรรมปิฎกแทนพระองค์เมื่อทรงกระทำภัตกิจแล้วจึงเสด็จขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และทรงแสดงพระอภิธรรมปิฎกต่อจากที่พระพุทธเนรมิตแสดงค้างไว้
(ขุ.ธ.อ. ๔๔/๘๒-๘๘)
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในเรื่องตำนานพระแก่นจันทน์ว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงใคร่ครวญถึงพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง จึงรับสั่งให้ช่างนำไม้แก่นจันทน์มาแกะสลักเป็นพระรูปของพระพุทธองค์ตั้งไว้บนอาสนะที่พระองค์เคยประทับเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วพระแก่นจันทน์ได้ลุกขึ้นมากระทำปฏิสันถารต้อนรับพระพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสสั่งพระแก่นจันทน์กลับไปประทับที่เดิมเพื่อให้พระแก่นจันทน์นั้นเป็นแบบของการสร้างพระพุทธรูปหลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว
(กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ๒๕๑๕ : ๔๒)
พุทธพจน์กับการสร้างพุทธศิลป์
หลักฐานสำคัญที่ปรากฏต่อมา
คือ ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ ปรินิพพานระหว่างต้นสาละ ณ สาลวโนมยาน
เมืองกุสินาราหมู่เทวดาและมนุษย์ต่างพร้อมใจกันบูชาพระพุทธองค์ด้วยเครื่องสักการะต่างๆ
เพราะคิดว่านับแต่นี้ต่อไปจะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าอีกต่อไปแล้ว พระอานนท์ได้กราบทูลถึงความรู้สึกเช่นนี้ของหมู่เทวดาและมนุษย์ให้พระองค์ทรงทราบพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าสังเวชนียสถาน
๔ แห่ง คือ
๑)
สถานที่พระตถาคตประสูติ
๒)
สถานที่ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๓)
สถานที่ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร
๔)
สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน
เป็นสถานที่ที่พุทธบริษัท
๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ควรไปสักการบูชา (ที.ม. ๑๐/ ๒๐๒/ ๑๕๐-๑๕๑)
หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงสถานที่อันเป็นสังเวชนียสถานทั้ง
๔ แก่พระอานนท์แล้ว พระเถระได้กราบทูลถามถึงเรื่องพิธีการถวายเพลิงพระบรมศพและจุดมุ่งหมายของการสร้างสถูป
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“พวกเขาใช้ผ้าใหม่ห่อพระบรมศพพระเจ้าจักรพรรดิเสร็จแล้วจึงห่อผ้าด้วยสำลีบริสุทธิ์แล้วจึงห่อด้วยผ้าใหม่อีกชั้นหนึ่งทำโดยวิธีนี้จนห่อพระบรมศพของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าและสำลีได้
๑,๐๐๐ ชั้นแล้วอัญเชิญพระบรมศพลงในรางเหล็กที่เต็มด้วยน้ำมันครอบด้วยรางเหล็กอื่นอีกทำจิตกาธานด้วยไม้หอมล้วนแล้ว
ถวายเพลิงพระบรมศพพระเจ้าจักรพรรดิสร้างสถูปไว้ที่หนทางสี่แพร่งพวกเขาพึงปฏิบัติพระบรมศพตถาคตเหมือนที่เขาปฏิบัติพระบรมศพพระเจ้าจักรพรรดิชนเหล่าใดจักยกมาลัยของหอมหรือจุณขึ้นอภิวาทหรือทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นการกระทำเช่นนั้นจักเป็นประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน”
(เล่มเดียวกัน, ๒๐๕/๑๕๒)
กำเนิดการสร้างพระสถูป
ลำดับต่อมาพระพุทธองค์ได้ตรัสถึงการสร้างพระสถูปถวายแก่บุคคล
๔ จำพวก ว่าอานนท์ ถูปารหบุคคล คือ ผู้ควรสร้างสถูปถวาย ๔ จำพวก ได้แก่
๑)
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นถูปารหบุคคล
๒)
พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นถูปารหบุคคล
๓)
พระสาวกของพระตถาคตเป็นถูปารหบุคคล
๔)
พระเจ้าจักรพรรดิเป็นถูปารหบุคคล (เล่มเดียวกัน, ๒๐๖/๑๕๓)
บุคคลดังกล่าวนี้เป็นบุคคลพิเศษ
สมควรแก่การสร้างพระสถูปบรรจุอัฐิธาตุไว้สำหรับการสักการบูชากราบไหว้ของผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส
เพราะเป็นมูลเหตุนำให้ไปเกิดในสุคติภพได้ดังที่ตรัสว่า
ชนเป็นอันมากทำจิตให้เลื่อมใส
ด้วยคิดว่า นี้เป็นสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น… นี้เป็นสถูปของพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น…นี้เป็นสถูปของพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พวกเขาทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น หลังจากตายแล้วจะไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์…
(เล่มเดียวกัน, ๒๐๖/๑๕๓-๑๕๔)
หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ๗ วัน
พวกมัลลกษัตริย์ได้ทำพิธีถวายเพลิงพระบรมศพของพระองค์จนสำเร็จเรียบร้อย ระหว่างที่มีการฉลองพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าอยู่นั้น
ข่าวการปรินิพพานและการถวายเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าได้แพร่ไปยังบรรดาเมืองต่างๆ
อันประกอบด้วย
๑)
กรุงราชคฤห์ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตร เป็นกษัตริย์
๒)
เมืองเวสาลี มีกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง
๓)
เมืองกบิลพัสดุ์ มีกษัตริย์ศากยวงศ์ปกครองอยู่พร้อมทั้งพระประยูรญาติ
๔) เมืองอัลลกัปปะ
มีเจ้าถูลีปกครอง
๕)
เมืองรามคาม มีกษัตริย์โกลิยะปกครอง
๖)
เมืองเวฏฐทีปกะ มีพราหมณ์เวฎฐทีปกะปกครอง
๗)
เมืองปาวา มีมัลลกษัตริย์ปกครอง
เมืองเหล่านี้ต่างส่งทูตและกองทัพไปยังเมืองกุสินาราเพื่อขอพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
โดยกล่าวเป็นทำนองเดียวกันว่า พวกตนต้องการพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้สร้างพระสถูปบรรจุและทำการฉลอง
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ตรัสตอบทูตเหล่านั้นว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานในเขตบ้านเมืองของตน พวกตนจะไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้แก่ผู้อื่น
เมื่อพวกเจ้ามัลละตรัสตอบแก่ทูตเมืองต่างๆ เช่นนี้แล้ว ทำให้ทูตต่างเมืองเหล่านั้นเกิดความไม่พอใจโทณพราหมณ์เห็นเหตุการณ์ซึ่งส่อเค้าว่าจะเกิดความไม่สงบขึ้นจึงกล่าวกับคณะทูตเหล่านั้นว่า
“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
โปรดฟังคำชี้แจงของข้าพเจ้าหน่อยหนึ่งเถิดพระพุทธเจ้าของพวกเราทรงถือหลักขันติธรรม
ไม่ควรที่จะประหัตประหารกัน เพราะส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุคคล
ขอให้ทุกฝ่ายพร้อมใจกันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน พระสถูปจะได้กระจายไปยังทิศต่างๆ
มีประชาชนจำนวนมากผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุ” (เล่มเดียวกัน, ๒๓๗/๑๗๘)
คณะทูตต่างๆ เมื่อได้ฟังคำของโทณพราหมณ์เช่นนี้แล้ว จึงตกลงให้โทณพราหมณ์เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น
๘ ส่วนเท่าๆ กัน และได้ขอทะนานที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุนั้นเพื่อจะนำไปบรรจุในพระสถูปสำหรับสักการบูชาภายหลังเจ้าโมริยะแห่งเมืองปิปผลิวันส่งทูตมาขอแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุบ้าง
แต่เมื่อมาถึงการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุได้เสร็จสิ้นไปแล้วเจ้ามัลละเมือง กุสินารา จึงมอบพระอังคาร
(เถ้าถ่าน) ให้ไปเจ้าโมริยะจึงนำไปบรรจุในสถูปที่ทรงสร้างไว้สำหรับสักการบูชาที่เมืองของตน
(เล่มเดียวกัน, ๒๓๘/๑๗๘-๑๗๙)
บทสรุป
ดังนั้น
ในสมัยพุทธกาลพุทธศิลปวัตถุจะปรากฏมีเพียง สถาปัตยกรรมและประติมากรรม ส่วนเรื่องจิตรกรรมยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏแน่นชัด
จากการศึกษาได้ทำให้ทราบว่าพุทธศิลป์ในอินเดีย (พระพุทธรูป) เกิดขึ้นจริงๆ
เพราะกษัตริย์ชาวกรีก ช่วงยุคพระเจ้าเมนันเดอร์ หรือ พระเจ้ามิลินท์ ประมาณ
พ.ศ.๕๐๐ โดยช่างชาวกรีกได้แกะสลักพระพุทธรูปในยุคแรก ต่อมาก็ถ่ายทอดงานแกะสลักแก่ช่างชาวอินเดีย
สังเกตได้จากพุทธศิลป์ในยุคสมัยมถุรา ราว พ.ศ.๖๐๐ จนสืบต่อมาถึงยุคปัจจุบัน
บรรณานุกรม
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๒๕).
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พิมพ์เนื่องวโรกาส ครบ
๒๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕, กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ .(๒๕๑๗). ตำนานพุทธเจดีย์, กรุงเทพมหานคร: คลังวิทยา.
__________. (๒๕๑๕). ตำนานพระพุทธเจดีย์, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์รุ่งวัฒนา.
กรมศิลปากร. (๒๕๓๖). คู่มือ: การปฏิบัติงานของภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กรมศิลปากร, กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง
จำกัด.
__________. (๒๕๕๒). ศิลปะทวารวดี : ต้นกำเนิดพุทธศิลป์ในประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร:
กรมศิลปากร.
ชะลูด นิ่มเสมอ. (๒๕๓๙). องค์ประกอบของศิลปะ, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพาณิช.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น