พุทธประวัติวิเคราะห์ตามทรรศนะเสฐียรพงษ์ วรรณปก
Analytical the History of Buddhism by Sathianpong Vanapok

พระราชปริยัติวิมล,ดร.*
Phra Rajpariyattivimol,Dr.
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด*
E-mail : Philosophy-Roi et@hotmail.com



บทนำ
พุทธประวัติโดยทั่วไปกล่าวว่า พวกศากยะปกครองตัวเองเป็นเอกราช สืบทอดสันตติวงศ์กันมา ตั้งแต่พระเจ้าโอกกากราช จนถึงพระเจ้าสุทโธทนะ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ตรัสโดยไม่แน่พระทัยว่านครเหล่านี้ (กบิลพัสดุ์, เทวทหะ, รามคาม) มีวิธีปกครองอย่างไร ไม่ได้กล่าวไว้ชัด แต่สันนิษฐานตามประเพณี ชนบทเหล่านี้ปกครองโดยสามัคคีธรรมแต่เรื่องเชื้อชาติ ทรงยืนยันว่าเป็นอารยัน (ฝรั่ง)พระผู้มีพระภาคผู้พระศาสดาของเราทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติขึ้นในพวกอริย ชาติ ในจังหวัดมัชฌิมชนบท ชมพูทวีป แคว้นสักกะ(เสถียร โพธินันทะ, ๒๕๔๑ : ๕๗)
ข้อน่าพิจารณา คือ พวกศากยะปกครองแบบใด เท่าที่ปรากฏ ชมพูทวีปสมัยนั้นมีการปกครองอยู่ ๒ ระบอบ คือราชาธิปไตยกับสามัคคีธรรม แบบแรกเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ส่วนแบบที่สองนั้น สภาสังฆะจะเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้นปกครองประเทศ เรียกว่า กษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง อยู่เป็นวาระ กษัตริย์หรือราชาบริหารประเทศผ่านรัฐสภา (ศากยสภาหรือสัณฐาคาร) รัฐที่ปกครองด้วยระบอบนี้ที่ระบุชัดเจนมี แคว้นวัชชีของเหล่ากษัตริย์ลิจฉวี และแคว้นมัลละของมัลลกษัตริย์
แคว้นสักกะ (ศากยะ) ของพวกศากยะ เข้าใจว่าปกครองด้วยระบอบสามัคคีธรรมเช่นเดียวกัน มีหลักฐานบ่งชี้หลายแห่ง ดังนี้
๑) ในทีฆนิกาย กล่าวถึงพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งเดินทางผ่านไปยังรัฐสภา (สัณฐาคาร) ของพวกศากยะไม่มีใครเอาใจใส่เพราะกำลังทำกิจของตนอยู่ ผูกใจเจ็บว่าพวกศากยะไม่เห็นความสำคัญของตน จึงดูถูกว่าพวกศากยะเป็นคนชั้นต่ำไม่มีการศึกษา
๒) พระไตรปิฎกและอรรถกถาเล่าเรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงขอนางขัตติยานีศากยะไปอภิเษก เพื่อเป็นพระญาติทางสายเลือดกับพระพุทธเจ้า พวกศากยะประชุมรัฐสภาตัดสินส่งนางวาสภขัตติยา พระธิดาของเจ้ามหานาม อันเกิดจากนางทาสีไปถวายพระเจ้าป-เสนทิโกศลอันเป็นสาเหตุให้เกิดสงคราม ล้างโคตรพวกศากยะในเวลาต่อมา
๓) หลักฐานชั้นอรรถกถา เช่น ธัมมปทัฏฐกถา เล่าเรื่องพวกศากยะกับโกลิยะทำสงครามแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อมาทำการเกษตร พวกศากยะประชุมรัฐสภาตัดสินโดยเสียงข้างมาก ก่อนยกทัพไปรบกับพวกโกลิยะ เดชะบุญพระพุทธองค์เสด็จมาห้ามไว้ ไม่เช่นนั้นสงครามเลือดระหว่างหมู่ญาติคงจะเกิดขึ้น
๔) พวกศากยะมิได้เป็นเอกราช แต่ขึ้นอยู่ภายใต้ปกครองของประเทศมหาอำนาจ คือแคว้นโกศลมีหลักฐานเป็นพุทธวจนะว่า วาเสฏฐะ พวกศากยะทั้งหลายเป็นผู้ใกล้ชิดและอยู่ในอำนาจพระเจ้าปเสนทิโกศล” (๑๑/๕๔/๙๑) และอีกแห่งหนึ่งว่า ราชะ ชนบทข้างเขาหิมพานต์สมบูรณ์ด้วยความเพียรเครื่องหาทรัพย์เป็น นิเกติโนแห่งรัฐโกศล” (๒๕/๓๕๔/๔๐๗)
คำว่า นิเกติโนสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแปลว่า เป็นถิ่นแต่ในอรรถกถาไขความทำนองว่าเป็น เมืองขึ้น” (อนุยนฺตา วสวตฺติโน)
๕.) พวกศากยะเป็นเผ่าเล็กๆ อยู่เชิงเขาหิมพานต์ ทิศอีสานของชมพูทวีปสมัยนั้นมิใช่ส่วนกลางหรือมัชฌิมประเทศ ปัจจุบันนี้คือประเทศเนปาล มีลัทธิความเชื่อและประเพณีเป็นของตนไม่เหมือนคนอินเดียสมัยนั้น เช่น
-มีความผูกพันทางสายเลือดสูง เช่น เวลาจะคลอดลูกจะต้องไปคลอดที่ตระกูลบรรพบุรุษ แต่งงานกัน เองในหมู่พี่น้อง เพราะไม่ต้องการให้สายเลือด อันบริสุทธิ์ของตนไปปะปนกับชนชาติอื่น
-บูชากระดูกบรรพบุรุษ เช่น เมื่อเผาศพแล้วจะเอากระดูกบรรจุเจดีย์บูชา ไม่เอาลอยน้ำดังพวกคนอินเดียทั่วไป
-ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะเช่นพวกอารยัน
-ปฏิเสธพระเจ้า สันนิษฐานว่าลัทธิความเชื่อถือของพวกศากยะคือลัทธิ สางขยะเป็นคำสอนของฤาษีกบิล (ฤาษีตนนี้เองที่ชี้ชัยภูมิพื้นที่ให้พวกศากยะสร้างเมือง ชื่อเมืองว่า กบิลพัสดุ์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ท่าน)
-ปกครองผ่านรัฐสภา (ดังกล่าวข้างต้น) ดุจเดียวกับแคว้นวัชชี และแคว้นมัลละ
-เป็นเผ่านักรบ ชอบมวยปล้ำ ขี่ม้ายิงธนู ต่อสู้ตัวต่อตัว ดังปรากฏในพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะได้ฝึกปรือศิลปวิทยาการครบทั้ง ๑๘ แขนงตามแบบอย่างของเผ่าพันธุ์ของตน มิได้ไปศึกษายังตักสิลา อย่างที่นิยมกันสมัยนั้น
-มีผิวเหลือง มิใช่ผิวขาวอย่างฝรั่งดังปรากฏพระสูตรหลายแห่งพรรณนาพระลักษณะของพระพุทธเจ้า ว่า สุวณฺณวณฺโณ (มีผิวดังทอง)
จึงมีผู้สันนิษฐานว่า พระพุทธเจ้าคงจะมิใช่อารยันดังที่กล่าวในตำรา ถ้าเช่นนั้นทรงมีเชื้อสายอะไรเห็นจะต้องพิจารณาจากหลักฐานทางชาติพันธุ์
เมื่อพิจารณาเชื้อชาติของคนอินเดียที่สำคัญ จะเห็นว่ามีถึง ๖ เชื้อชาติ เฉพาะที่เกี่ยวกับลัทธิศาสนาที่เกิดขึ้นหรือแพร่เข้ามายังอินเดียในระยะก่อนพุทธกาลมี ๔ เชื้อชาติ คือ เชื้อชาติมองโกล, มิลักขะ, ทัสยุ, และอารยัน (ไม่นับกรีก และมุสลิมซึ่งเข้าไปหลังพุทธกาล)
๑) เผ่ามงโกล กับเผ่านิโกร อพยพเข้ามายังอินเดียก่อนใครๆ ทั้งสองเผ่าผสมพันธุ์กันขึ้นเกิดเป็นเผ่าโปรโต-ออสตรารอยด์ ซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมืองของอินเดียก่อนพุทธกาลเรียกว่า มิลักขะส่วนนิโกรแท้นั้นมีจำนวนน้อย อาศัยอยู่ตามป่าเขา สมัยพุทธกาลเรียกพวกนี้ว่า นาคพวกนาคนี้กระจายมาจนถึงแหลมมลายูและตามเกาะแก่งต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
ส่วนชนเชื้อชาติมงโกลบริสุทธิ์ อาศัยหลักแหล่งอยู่เชิงเขาหิมาลัย อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน พวกมองโกลไม่นิยมแต่งงานกับชาติอื่นนอกจากพวกเดียวกัน พวกนี้เป็นนักรบเร่ร่อนมาก่อน ปกครองกันเองแบบประชาธิปไตย ทุกคนทัดเทียมกันไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ มีสภาและมีการประชุมหารือเลือกหัวหน้าขึ้นปกครอง
๒) เผ่ามิลักขะ เป็นเผ่าผสมระหว่างนิโกร กับมงโกลและคนพื้นเมืองอื่นๆในอินเดีย นักวิชาการเรียกพวกผสมพันธุ์ดังกล่าวว่า พวกโปรโตร-ออสตราลอยด์ ผิวดำ หัวหยิก อยู่กระจายทั่วไปในอินเดีย
๓) เผ่าทัสยุ (ทราวิฑ) คือพวกที่อพยพมาจากริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่มาอยู่อิหร่านเสียนานพอมีกำลังเป็นปึกแผ่นแล้วรุกเข้ามาสู่อินเดีย นักวิชาการเรียกพวกนี้ว่า ทราวิเฑียน (ดราวิเดียน) แต่พวกเปอร์เชียเรียกพวกนี้ว่าทหะหรือ ทหยุต่อมาเมื่อพวกอารยันเข้ามายังอินเดีย ได้ปราบปรามพวกนี้อยู่ในอำนาจนำมาใช้เป็นทาส จึงหมิ่นประมาทพวกนี้ว่าพวกทาสหรือทัสยุ พวกนี้ผิวดำแดง รูปร่างได้ส่วนคล้ายคลึงกับพวกมิลักขะ พวกอารยันดูไม่ออกว่าพวกไหนเป็นพวกไหน เลยเหมาเอาว่าเป็นพวกเดียวกัน
ความจริงพวกฑราวิเฑียนหรือ ทัสยุนี้ มีอารยธรรมสูงกว่าพวกอารยันด้วยซ้ำ ดังหลักฐานโบราณคดีที่ขุดพบคือเมืองโบราณที่ โมเฮนโจดาโรแขวงเมืองลัคเนา และที่ฮารัปปาแขวงมอนต์โกเมอรี แคว้นปัญจาบ มีความเก่าแก่ระยะเดียวกับพวกไอยคุปต์โบราณ
๔) เผ่าอารยัน ผิวขาว ร่างสูงใหญ่ นักวิชาการเรียกว่าพวกนอร์ดิค พูดภาษาอินโด-อารยัน อพยพมาจากทิศตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียน แต่เข้ามาอยู่หลังพวกมงโกลและทัสยุ รุกเข้ามาครอบครองมีอำนาจเหนือพวกมิลักขะและทัสยุ ส่วนพวกมงโกลที่อยู่ห่างไกลไปถึงหิมาลัย ภัยรุกรานของพวกอารยันจึงไปไม่ถึงทั้งพวกมงโกลก็เป็นนักรบที่เก่งกล้าไม่แพ้อารยัน
ลัทธิความเชื่อถือดั้งเดิมของอารยันเชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างโลก เชื่อวิญญาณล่องลอยจากคนตายได้อย่างเดียวกับพวกไอยคุปต์โบราณต่างเพียงแต่ว่าพวกไอยคุปต์เชื่อว่าสามารถรักษาร่างเดิมไว้มิให้เปื่อยเน่า วิญญาณจะหวนกลับเข้าร่างเดิมอีก แต่พวกอารยันเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงสอนกันใหม่ว่า วิญญาณที่ล่องลอยไป เมื่อพบร่างใหม่ที่เหมาะสมจะเข้าสิงสู่วิญญาณนี้เรียกว่า ชีวะหรือ อาตมันเป็นอมตะนิรันดร
๕) เชื้อชาติกรีก เข้ามาหลังพุทธกาล (ประมาณ พ.ศ. ๒๑๓) อเล็กซานเดอร์มหาราช ตีอาณาจักร เปอร์เชียได้แล้วยกทัพข้ามฮินดูกูฏเข้ามาทางภาคเหนือของอินเดีย ยึดครองตักสิลา และแคว้นปัญจาป เดินทัพเรื่อยมาจนถึงลุ่มแม่น้ำ้สินธุ ช่วงที่กรีกมีอำนาจเหนืออินเดีย ได้นำความนิยมปั้นรูปเคารพมาเผยแพร่ด้วยจนเกิดการสร้างพระพุทธรูปในกาลต่อมา ลูกหลานกรีกสำคัญคนหนึ่งต่อมาได้มานับถือพระพุทธศาสนา เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา คือ พระเจ้าเมนานเดอร์ หรือมิลินทร์ ได้โต้วาทะกับพระเถระนามว่านาคเสน รายละเอียดของการโต้วาทะระหว่างบุคคลทั้งสองมีบันทึกอยู่ในหนังสือชื่อ มิลทปัญหา
๖) ชนเชื้อชาติมุสลิม หมายถึงพวกที่นับถือศาสนาอิสลาม พวกนี้มาจากเปอร์เซีย ตุรกี อิรัก และอิหร่าน มุสลิมชื่อ มุหมัดโฆรี นำกองทัพมาตีอินเดีย ได้ตั้งวงศ์มุสลิมปกครองอินเดียประมาณ พ.ศ. ๑๗๓๕
มีผู้กล่าวว่าอาจเป็นไปได้ที่พระพุทธเจ้ามิใช่อารยัน ศาสนาของพระพุทธเจ้าคัดค้านลัทธิความเชื่อดั้งเดิม ตลอดประเพณีพิธีกรรมบางอย่างของเผ่าของพระพุทธเจ้าก็แตกต่างจากของพวกอารยันในอินเดีย จึงมีผู้เสนอว่าเผ่าศากยะของพระพุทธองค์น่าจะเป็นพวกมองโกลว่ากันอย่างนั้น ฝากพิจารณาด้วยก็แล้วกัน (วศิน อินทสระ, ๒๕๓๐ : ๑๐๔)

ข้อความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับพุทธประวัติบางตอน
๑) สาเหตุเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พุทธประวัติเล่าว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นเทวทูต๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ ก็ทรงได้ข้อสรุปว่าโลกนี้เป็นทุกข์ แล้วทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช ด้วยความเข้าพระทัยว่าแนวทางนี้อาจเป็นทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้
ข้อความที่เป็นพุทธวจนะ ได้บรรยายถึงความรู้สึกที่ทำให้เสด็จออกผนวชว่าเป็นเรื่องของการพิจารณาเห็นความจริงว่าตนยังมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไฉนยังแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดาอยู่เล่า และเกิดความคิดว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี ส่วนบรรพชาเป็นความว่าง โปร่ง โล่ง สบาย เป็นทางกำจัดกิเลส เพศผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ได้ยาก
ไม่มีพระบาลีตอนใดที่กล่าวถึงการถูกกีดกันมิให้เห็นสภาพที่ไม่พึงปรารถนาต่างๆ จากพระราชบิดา จนต้องหนีออกไปภายนอกพระราชวังกับมหาดเล็กคนสนิท และมิได้พูดว่า เทวทูต ทั้ง ๔ นั้น ทรงทอดพระเนตรเห็นในคราวเดียวกัน โดยการดลบันดาลของเทวดาดังพุทธประวัติเขียนไว้ พูดแต่เพียงว่า ทรงเกิดความรู้สึกอย่างไร จึงออกผนวช ซึ่งแน่นอนว่า ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาได้ย่อมต้องผ่านพบสิ่งต่างๆ ดังกล่าวแล้ว นำมาครุ่นคิดพินิจพิจารณาจนแจ้งสัจจะแห่งชีวิต จนผลักดันให้พระพุทธองค์ตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวชในที่สุด แม้พลความจะแตกต่างกัน แต่สาระเป็นอย่างเดียวกันจึงอนุโลมได้
แต่ที่แตกต่างในแง่ข้อเท็จจริงก็คือ พุทธประวัติกล่าวว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีบวชกลางคืนดึกสงัดทรงม้ากัณฐกะ มีมหาดเล็กคนสนิทนามฉันนะตามเสด็จ แต่พุทธวจนะตรัสถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเมื่อบิดาและมารดาพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราตถาคตได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือนแล้ว” (๑๓/๗๓๖/๖๖๙)
          แสดงว่าเจ้าชายสิทธัตถะมิได้หนีบวชกลางคืน โดยใครๆ ไม่รู้เห็น แต่เสด็จออกผนวชทั้งๆ ที่พระราชบิดาและพระราชมารดา (เลี้ยง) เห็นๆ อยู่ แต่ไม่สามารถทัดทานได้
ทำไมจึงทัดทานไม่ได้ ไม่มีที่ไหนบอกไว้ แต่ดร.อัมเบดการ์ กล่าวว่า เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชเพราะแรงผลักดันทางการเมือง (แพ้มติสภา กรณีพิพาทเรื่องแย่งน้ำกันระหว่างพระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่ายแต่ยืนกรานคัดค้าน ฝ่าฝืนกฎสภา จึงถูกเนรเทศ) ดร.อัมเบดการ์เขียนไว้ในหนังสือ “The Buddha and His Dhamma” ไม่ทราบว่าท่านได้ข้อมูลมาจากไหน ศาสตราจารย์เสฐียร พันธรังษี ราชบัณฑิต ได้นำมารวมไว้ในหนังสือ พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่ ท่านอาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต เคยเขียนบทความเรื่อง แผนการกู้ชาติของเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ได้ข้อมูลมาจากแหล่งเดียวกันนี้ ผมเองเคยเขียนบทความเรื่องพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย?” ก็ได้ข้อมูลมาจากแหล่งนี้เช่นเดียวกัน
อาจารย์เสฐียร หลังจากพิมพ์ พุทธประวัติฉบับค้นพบใหม่ (ชื่อครั้งแรกว่า พุทธประวัติฉบับมหายาน) ปรากฏว่า หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ไม่รับสั่งด้วยเป็นเวลาหลายปี ทรงหาว่าท่านเขียนบิดเบือนความจริง ท่านอาจารย์จำนงค์ หลังจากนำเสนอบทความดังกล่าวใน พุทธจักรก็ต้องสั่งเก็บบทความนั้น เนื่องจากช่วงนั้นอยู่ในยุคเผด็จการที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ดีร้ายอาจถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ทำลายพระพุทธศาสนาก็ได้ ส่วนเสฐียรพงษ์ วรรณปก หลังจากเสนอข้อมูลนี้สู่สาธารณชนแล้ว มีเพียงเสียงสะท้อนถามมาว่าไปได้หลักฐานมาจากไหนเท่านั้นเอง ไม่โดนหนักเหมือนสองท่านข้างต้น
๒) เรื่องอุปกาชีวกเชื่อพระพุทธเจ้าหรือไม่ หลังตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์เสด็จดำเนินเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ ระหว่างทางพบอุปกาชีวก ผู้ประทับใจในพระบุคลิกลักษณะและเข้ามาถามว่าใครเป็นศาสดาของพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไมมี่ครูอาจารย์ อุปกาชีวกได้ฟังดังนั้นก็ สั่นศีรษะไม่เชื่อแล้วหลีกทางไป (จำนงค์ ทองประเสริฐ, ๒๔๕๐ : ๙๕)
          พุทธประวัติอีกฉบับหนึ่งเพิ่ม แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกแล้วหลีกทางไปทั้งสองฉบับนี้ (รวมฉบับอื่นๆ ด้วย) เชื่อกันว่าอุปกาชีวกไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเขา สั่นศีรษะและ แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก
๓) เรื่องพระอัจฉริยภาพของเจ้าชายสิทธัตถะและพระพุทธเจ้า
หลายคนไม่สนิทใจเมื่ออ่านพบปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ในพุทธประวัติตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเรื่อยมาทีเดียว มีความพยายามอธิบายความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ของสิ่งเหล่านี้แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑) กลุ่มที่ ๑ แบ่งอธิบายออกเป็น ๒ ช่วงคือ ช่วงก่อนเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ กับช่วงหลังจากตรัสรู้ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นก่อนช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อธิบายในแง่เป็นสัญลักษณ์มิได้ตีความตามตัวอักษรส่วนเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังตรัสรู้อธิบายตามตัวอักษรได้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงได้ฌานอภิญญาแล้วสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้
ตามทัศนะของกลุ่มนี้ เรื่องราวมหัศจรรย์ต่าง ๆ ก่อนเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เช่น อยู่ในครรภ์ไม่เปื้อนด้วยมลทินครรภ์ นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ ประสูติออกมาเสด็จดำเนินได้ทันที ๗ ก้าว และตรัสได้เป็นต้น ให้ถอดออกมาเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือภาษาธรรม ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ หลังตรัสรู้แล้ว อาทิ เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ เสด็จลงจากสวรรค์ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก ฯลฯ ให้ตีความตามตัวอักษร
๒) กลุ่มที่ ๒ มิได้แบ่งช่วงอย่างนั้น แต่มีความเห็นว่า เรื่องราวในพุทธประวัตินั้น พึงเลือกพิจารณาเอาเองว่าอันใดเป็นเปลือก อันใดเป็นแก่น ข้อความใด ไม่มีไม่เป็นได้ โดยธรรมดา พึงเลือกเอาแต่ใจความเหมือนกินผลไม้ก็เอาเปลือกออก กินแต่เนื้อในฉะนั้น หมายความว่า ถ้าเรื่องใดไม่มีไม่เป็นโดยธรรมดา(เหลือเชื่อ) ก็ให้ถือเอาแต่ใจความ หรือถอดความเอา แต่ถ้าที่ใดแปลความตามตัวอักษรได้ก็ให้แปลตามตัวอักษรการถือเช่นนี้ก็สะดวกดี แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ข้อความตรงไหนควรแปลความตามตัวอักษร ตรงไหนควรถอดความไม่ถือตามตัวอักษร
๓) กลุ่มที่ ๓ ยอมรับอิทธิปาฏิหาริย์ตลอด ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ โดยให้เหตุผลว่า เจ้าชายสิทธัตถะถึงจะเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์พิเศษคือเป็น นิยตโพธิสัตว์” (พระโพธิสัตว์ที่แน่นอนว่าจะต้องตรัสรู้ เพราะบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว) อัจฉริยภาพต่าง ๆ ตามที่เล่าไว้ในคัมภีร์เช่น ขณะพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ พระมารดาเป็นผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์โดยอัตโนมัติ ขณะอยู่ในพระครรภ์พระโพธิสัตว์อยู่ในอิริยาบถนั่ง ไม่นอนเหมือนทารกทั่วไปขณะเสด็จออกจากพระครรภ์มีเทวดานำท่อน้ำร้อน น้ำเย็นมาสรงพระวรกาย เสด็จดำเนินได้ ตรัสได้ ฯลฯ เป็น ธรรมดาของพระโพธิสัตว์

ธรรมดาของผู้มีบุญ
เมื่อท่านบอกว่าเป็น ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ก็ทำให้คิดว่า ปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์หรืออัศจรรย์ต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าชายสิทธัตถะ(ผู้ทรงเป็นนิยตโพธิสัตว์)นั้น มิใช่เรื่องประหลาดอัศจรรย์อะไรหากเป็นธรรมดาของท่าน ย่อมมีได้ เป็นได้ สำหรับนิยตโพธิสัตว์ ดุจเดียวกับธรรมดาของนกย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาย่อมอยู่ในน้ำตลอดทั้งวันโดยไม่ขึ้นมาหายใจก็ไม่ตาย ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อเราเห็นนกบิน เราอัศจรรย์ไหม เปล่าเลย เพราะถือว่าเป็นธรรมดาของนกมันย่อมบินได้ เห็นปลาอยู่ในน้ำทั้งวันไม่ตาย เราอัศจรรย์ไหม เปล่าเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าธรรมดาของปลามันเป็นเช่นนั้น เมื่อธรรมดาของพระโพธิสัตว์ย่อมมีพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป เราก็ไม่เห็นจะต้องคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เพราะการมีได้เป็นได้อย่างนั้น เป็น ธรรมดาของท่าน
๓) เรื่องพระกระยาหารมื้อสุดท้าย
พุทธประวัติเล่าว่า นายจุนทะกัมมารบุตร ถวายมังสะสุกรอ่อนแก่พระพุทธเจ้า หลังเสวยเสร็จพระอาการประชวรก็กำเริบ
อาหารที่นายจุนทะเตรียมถวายพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์นั้น นอกจากขาทนียะและโภชนียะอันประณีตเพียงพอแล้ว ยังรวม สูกรมัททวะ อย่างเพียงพอด้วย สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแปลว่า มังสะสุกรอ่อนและหมายเหตุด้วยว่าน่าจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งเช่นเห็ดหมูอ่อนในเมืองไทยกระมัง
ในอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี พระพุทธโฆษาจารย์ผู้แต่งได้ให้ความหมายของสูกรมัททวะไว้ ๓ ประการคือ
๑. เนื้อสุกรอ่อนนุ่มที่ปรุงอย่างดี
๒. ข้าวอ่อนหุงด้วยนมโคอย่างดี
๓. ยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ปรุงตามตำรับรสายนศาสตร์
          คัมภีร์ฝ่ายมหายานว่าได้แก่เห็ดชนิดหนึ่งที่เกิดที่ไม้จันทน์ คนจีนเรียกว่าจันทันฉิ่วยื้อและว่าเห็ดชนิดนี้หมูชอบกิน จึงเรียกว่า สูกรมัททวะ
พิเคราะห์ดู บริบทในมหาปรินิพพานสูตร สูกรมัททวะ น่าจะเป็นชื่อของสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นายจุนทะปรุงถวายพระพุทธองค์ ตามความหมายในนัยที่ ๓ ความพิสดารได้เขียนไว้แล้วใน พระกระยาหารมื้อสุดท้ายในหนังสือ พระพุทธศาสนา ทัศนะและ วิจารณ์เช่นเดียวกัน
๔) เรื่องพระอัจฉริยภาพของเจ้าชายสิทธัตถะและพระพุทธเจ้า หลายคนไม่สนิทใจเมื่ออ่านพบปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ในพุทธประวัติตั้งแต่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเรื่อยมาทีเดียว มีความพยายามอธิบายความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ของสิ่งเหล่านี้แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มคือ
๑) กลุ่มที่ ๑ แบ่งอธิบายออกเป็น ๒ ช่วงคือ ช่วงก่อนเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ กับช่วงหลังจากตรัสรู้ ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นก่อนช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อธิบายในแง่เป็นสัญลักษณ์มิได้ตีความตามตัวอักษรส่วนเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังตรัสรู้อธิบายตามตัวอักษรได้ เพราะพระพุทธเจ้าทรงได้ฌานอภิญญาแล้วสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้
ตามทัศนะของกลุ่มนี้ เรื่องราวมหัศจรรย์ต่าง ๆ ก่อนเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เช่น อยู่ในครรภ์ไม่เปื้อนด้วยมลทินครรภ์ นั่งขัดสมาธิในพระครรภ์ ประสูติออกมาเสด็จดำเนินได้ทันที ๗ ก้าว และตรัสได้เป็นต้น ให้ถอดออกมาเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือภาษาธรรม ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ หลังตรัสรู้แล้ว อาทิ เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ เสด็จลงจากสวรรค์ ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก ฯลฯ ให้ตีความตามตัวอักษร
๒) กลุ่มที่ ๒ มิได้แบ่งช่วงอย่างนั้น แต่มีความเห็นว่า เรื่องราวในพุทธประวัตินั้น พึงเลือกพิจารณาเอาเองว่าอันใดเป็นเปลือก อันใดเป็นแก่น ข้อความใด ไม่มีไม่เป็นได้ โดยธรรมดา พึงเลือกเอาแต่ใจความเหมือนกินผลไม้ก็เอาเปลือกออก กินแต่เนื้อในฉะนั้น หมายความว่า ถ้าเรื่องใดไม่มีไม่เป็นโดยธรรมดา(เหลือเชื่อ) ก็ให้ถือเอาแต่ใจความ หรือถอดความเอา แต่ถ้าที่ใดแปลความตามตัวอักษรได้ก็ให้แปลตามตัวอักษรการถือเช่นนี้ก็สะดวกดี แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ข้อความตรงไหนควรแปลความตามตัวอักษร ตรงไหนควรถอดความไม่ถือตามตัวอักษร
๓) กลุ่มที่ ๓ ยอมรับอิทธิปาฏิหาริย์ตลอด ทั้งก่อนและหลังตรัสรู้ โดยให้เหตุผลว่า เจ้าชายสิทธัตถะถึงจะเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์พิเศษคือเป็น นิยตโพธิสัตว์” (พระโพธิสัตว์ที่แน่นอนว่าจะต้องตรัสรู้ เพราะบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว) อัจฉริยภาพต่าง ๆ ตามที่เล่าไว้ในคัมภีร์เช่น ขณะพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ พระมารดาเป็นผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์โดยอัตโนมัติ ขณะอยู่ในพระครรภ์พระโพธิสัตว์อยู่ในอิริยาบถนั่ง ไม่นอนเหมือนทารกทั่วไปขณะเสด็จออกจากพระครรภ์มีเทวดานำท่อน้ำร้อน น้ำเย็นมาสรงพระวรกาย เสด็จดำเนินได้ ตรัสได้ ฯลฯ เป็น ธรรมดาของพระโพธิสัตว์

บทสรุป
เมื่อท่านบอกว่าเป็น ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ก็ทำให้คิดว่า ปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์หรืออัศจรรย์ต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าชายสิทธัตถะ (ผู้ทรงเป็นนิยตโพธิสัตว์) นั้น มิใช่เรื่องประหลาดอัศจรรย์อะไรหากเป็น ธรรมดา ของท่าน ย่อมมีได้ เป็นได้ สำหรับนิยตโพธิสัตว์ ดุจเดียวกับธรรมดาของนกย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาย่อมอยู่ในน้ำตลอดทั้งวันโดยไม่ขึ้นมาหายใจก็ไม่ตาย ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อเราเห็นนกบิน เราอัศจรรย์ไหม เปล่าเลย เพราะถือว่าเป็นธรรมดาของนกมันย่อมบินได้ เห็นปลาอยู่ในน้ำทั้งวันไม่ตาย เราอัศจรรย์ไหม เปล่าเช่นกัน เพราะเรารู้ว่าธรรมดาของปลามันเป็นเช่นนั้น เมื่อธรรมดาของพระโพธิสัตว์ย่อมมีพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป เราก็ไม่เห็นจะต้องคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เพราะการมีได้เป็นได้อย่างนั้น เป็น ธรรมดาของท่าน
เมื่อคิดในแง่นี้ ปรากฏการณ์พิเศษบางอย่าง ที่เราเคยคิดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ แท้ที่จริงแล้วย่อมเป็นไปได้ มิใช่เรื่องเหลือเชื่อแต่ประการใด เพราะเรื่องทำนองนี้ย่อมเป็นปรากฏการณ์ธรรมดา ๆ แต่เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์


เอกสารอ้างอิง


กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย. (๒๕๑๖). ภารตวิทยา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สยาม.
จำนงค์ ทองประเสริฐ. (๒๕๔๐). บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดีย. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วน    จำกัด อรุณการพิมพ์.
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (ษัฏเสน). (๒๕๓๘). พระพุทธศาสนาแบบทิเบต.กรุงเทพฯ : ส่อง    ศยาม.
เสถียร โพธินันทะ. (๒๕๔๑). ปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป. (๒๕๓๗). ลัทธิของเพื่อน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พิราบ.
สุลักษณ์ ศิวรักษ์. (๒๕๔๒). พุทธศาสนาตันตระหรือวัชรยาน. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย.
วศิน อินทสระ. (๒๕๓๐). พุทธปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
Alex Waymann. (1997). Tantric Buddhism. Delhi: Motilan.

ไม่มีความคิดเห็น:

วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์ Journal of Buddhist philosophy evolved

เปรียบเทียบธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญากับปรัชญาของอริสโตเติล COMPARING HUMAN NATURE TO BUDDHIST PHILOSOPHY AND ARISTOTLE'S PHILOS...