พระพุทธศาสนามหายาน
: ตันตรยาน
Mahayana
Buddhism : Tantrayan
พระชัยมงคล
กลฺยาโณ (ตาลอำไพ)
Phra Chaimongkol Kalyano (Talampai)
นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา
E-mail : Chaimongkol123@gmail.com
บทนำ
ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะหายไปจากอินเดียประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๗ นั้น เท่าที่ปรากฏในเอกสารต่างๆระบุตรงกันว่า เพราะพระพุทธศาสนาได้รับเอาการปฏิบัติแบบตันตระจากฮินดูเข้ามา
จนเกิดความเสื่อมทางศีลธรรม จนกระทั่งกองทัพมุสลิมบุกเข้าเผาทำลายศาสนสถานของพระพุทธศาสนา
ในขณะที่พระภิกษุผู้นิยมในลัทธิตันตระ พากันนั่งสาธยายมนต์ โดยไม่คิดจะต่อสู้กับมุสลิม
ส่วนมากจึงถูกฆ่าตาย ส่วนผู้ที่ได้ฌานสมาบัติจริงก็เหาะหนีไปยังประเทศอื่นเมืองอื่น
ในส่วนของศาสนิก
ถ้าใครต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ก็ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามหรือไม่ก็ทำเฉยเสียโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับศาสนา
ถ้าวิเคราะห์ตามนี้ก็จะเห็นได้ว่าทั้งฮินดูและพุทธถูกทำลายลงพร้อมกัน แต่ทำไมฮินดูจนยังคงมีอิทธิพลต่อชาวอินเดียอยู่ในปัจจุบันควบคู่ไปกับมุสลิม
แต่พระพุทธศาสนาที่เคยเจริญรุ่งเรืองกลับต้องมาเจริญในต่างแดนเช่นไทย พม่า จีน ญี่ปุ่น
เกาหลี ทิเบต ในแต่ละประเทศก็ได้พัฒนาพุทธศาสนาผสมกับความเชื่อดั้งเดิมของตน จนกลายเป็นพระพุทธศาสนาในลักษณะที่มีต้นกำเนิดจากที่เดียวกัน
แต่มีคำสอนและพิธีกรรมไม่เหมือนกัน
กำเนิดของพุทธศาสนาตันตรยาน
พระพุทธศาสนาแบบตันตระยานหรือวัชรยานหรือมันตรยาน
เกิดขึ้นในอินเดียประมาณศตวรรษที่ ๗ โดยได้ดัดแปลงเอาลัทธิฮินดูตันตระเพื่อเอาใจชาวฮินดู
และได้นำเอาพิธีกรรมทางอาถรรพเวทเพื่อต่อสู้กับศาสนาฮินดู พุทธศาสนาแบบตันตระมีสาขาใหญ่
๒ สาขา เรียกว่า สาขามือขวากับ มือซ้าย นิกายมือขวาเคารพบูชาเทพฝ่ายชาย
ส่วนนิกายมือซ้ายนิยมเรียกว่าวัชรยาน ถือเอาศักติหรือชายาของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก และทุ่มเทความสนใจหนักไปที่นางตารา
หรือพระนางผู้ช่วยให้พ้นทุกข์ พิธีกรรมที่สำคัญของตันตรยาน คือการสาธยายมนตร์ที่ลึกลับต่างๆ
และมีการปฏิบัติโยคะท่าทางต่าง ๆ พร้อมด้วยการเจริญสมาธิ จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติเพื่อบรรลุความหลุดพ้น
เชื่อกันว่าในทันทีที่มีความชำนาญได้บรรลุฌานชั้นที่ ๑ แล้ว กฏความประพฤติด้านศีลธรรมปกติธรรมดาก็ไม่จำเป็นสำหรับผู้นั้นตลอดไป
และเชื่อว่าการฝ่าฝืนโดยเจตนา ถ้าหากทำด้วยความเคารพแล้ว ก็จะทำให้เขาบรรลุธรรมขั้นสูงต่อไป
ดังนั้น จึงมักผ่อนผันในเรื่องการเมาสุรา การรับประทานเนื้อสัตว์ และการสับสนในทางประเวณี
(จำนงค์ ทองประเสริฐ, ๒๕๔๐:๑๙๗)
เมื่อบรรลุฌานขั้นที่
๑ กฎแห่งความประพฤติก็ไม่จำเป็น นี่กระมังที่ทำให้ใครๆก็อ้างว่าตนเองบรรลุฌานขั้นที่
๑ เพื่อที่ตนเองจะได้ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ นักบวชตันตระบางคนจึงเมาสุรา เสพเมถุนกันอย่างเต็มที่
เพื่อที่จะได้บรรลุศักติ นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว
โดยอ้างหลักการบนพื้นฐานของความดี คนที่ทำชั่วในคราบของนักบุญ
นับเป็นคนบาปที่ไม่ควรให้อภัย
พุทธศาสนานิกายตันตระ
ถูกนำมารวมเข้าไว้ในการปฏิบัติพิธีรีตองที่เป็นความลับ ครูอาจารย์ในนิกายนี้มักจะเขียนหนังสือที่มีปรัชญาลึกซึ้ง
เพราะตันตรยานมีความลึกลับ และมีวิธีการที่พิสดารที่เอง จึงมีผู้ให้คำอธิบายไว้ว่า “ตันตรยานบางครั้งเรียกว่าลัทธิคุยหยาน ซึ่งแปลว่า ลัทธิลับ เป็นนิกายที่มีลักษณะแปลกประหลาดกว่านิกายพุทธศาสนาอื่น
ๆ ที่รับเอาพิธีกรรมและอาถรรพเวทของพราหมณ์ เข้ามาสั่งสอนด้วย แต่แก้ไขให้เป็นของพุทธศาสนาเสีย
เช่น แทนที่จะบูชาพระอิศวรก็บูชาพระพุทธเจ้าแทน เกิดขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗
(เสถียร โพธินันทะ, ๒๕๔๑ : ๑๗๒)
จากฮินดูตันตระสู่พุทธตันตระ
เมื่อชาวพุทธรับเอาลัทธิตันตระจากฮินโมาปฏิบัติเพื่อต่อสู้กับฮินดู
พระสงฆ์มักจะเน้นที่พิธีกรรมที่แปลกๆและพิสดาร ยิ่งมีความลึกลับเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คนเลื่อมใสมากขึ้น
และนั่นทำให้เกิดลาภสักการะ พระสงฆ์จึงละทิ้งการปฏิบัติทางจิต
หันไปเน้นการประกอบพิธีกรรมที่ลึกลับ ผู้คนก็ชอบใจเพราะไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแต่เข้าร่วมพิธีก็สามารถเข้าถึงพุทธภาวะได้ ตันตระเจริญมากเท่าไร
ศีลธรรมก็ยิ่งเสื่อมลงมากเท่านั้น “เพราะอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของลัทธิตันตริกหรือวัชรยานนี้
ประชาชนอินเดียในสมัยนั้นต่างหมดความเคารพในศีลธรรม แต่กลับนิยมชมชื่นในความวิปริตนานาชนิด”
(กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย, ๒๕๓๗ : ๔๓๗)
คัมภีร์ตันตระในลัทธิฮินดูสอนว่า “มนุษย์มีความไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นกฎพิธีจึงต้องกระทำต่าง ๆ
กันตามสภาพของมนุษย์ มนุษย์มีลักษณะ ๓ ประการ คือ ปศุ (สัตว์) วีระ (กล้าหาญ)
และทิพยภาวะ ลักษณะ ๓ ประการนี้ มักจะหมายถึงวัยของมนุษย์ คือ ปฐมวัย มัชฌิมวัย
และปัจฉิมวัย และสอนว่า ถ้าจะข่มราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดไป ก็อาศัยราคะ โทสะ โมหะ
นั้นเองเป็นเครื่องบำราบ (หนามยอกเอาหนามบ่ง)
คือต้องกินอาหาร ต้องดื่มน้ำเมา ต้องเสพเมถุน เป็นต้นแต่ละอย่างให้เต็มที่
สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นเครื่องดับมันเอง” (เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป,
๒๕๓๗ : ๑๐๙)
พิธีกรรมแบบพุทธตันตรยาน
พระพุทธศาสนาแบบตันตระเน้นในเรื่องเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรม
การสาธยายมนตร์และมีคำสอบที่เป็นรหัสนัยอันลึกลับจนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย
ดังที่เสถียรโพธินันทะแสดงความเห็นไว้ว่า ลัทธิตันตรยาน
ถ้าจะเทียบด้วยเปอร์เซ็นต์แล้วก็มีความเป็นพระพุทธศาสนาเหลือสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์
นอกนั้นรับเอาลัทธิฮินดูตันตระมาดัดแปลง ความประสงค์เดิมก็เพียงเพื่อเอาใจชาวฮินดู
จึงได้นำลัทธิพิธีกรรมทางอาถรรพเวทมาไว้มาก และได้ผลเพียงชั่วแล่น แต่ผลเสียก็เป็นเงาตามทีเดียว
คือถูกศาสนาพราหณ์กลืนโดยปริยายนั่นเอง (เสถียร โพธินันทะ, ๒๕๔๑ : ๑๙๘)
การปฏิบัติตันตระในพุทธตันตรยานในพุทธศตวรรษที่
๑๗ นั้นมีอธิบายไว้ว่า
(๑)“ถือว่าการพร่ำบ่นมนตร์และลงเลขยันต์ซึ่งเรียกว่าธารณีเป็นหนทางรอดพ้นสังสารทุกข์ได้เหมือนกัน
การทำจิตให้เพ่งเล็งถึงสีสันวรรณะหรือทำเครื่องหมายต่างๆด้วยนิ้วมือซึ่งเรียกว่ามุทรา
จะให้ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ให้ลุทางรอดพ้นได้ ลัทธินี้เรียกว่า มันตรยาน หรือสหัชญาณ,
(๒) เกิดมีการนับถือฌานิพุทธและพระโพธิสัตว์อย่างยิ่งยวด
มีการจัดลำดับพระพุทธเจ้าเป็นลำดับชั้น ในยุคนี้เกิดมีการนำเอาลัทธิศักติเข้ามาบูชาด้วย
จนทำให้พระฌานิพุทธะและพระโพธิสัตว์มีพระชายาขนาบข้าง เหมือนพระอุมาเป็นศักติของพระศิวะ
พระลักษมีเป็นศักติของพระวิษณุ ผู้เข้าสู่นิพพานคือเข้าอยู่ในองค์นิราตมเทวี
ลัทธิอย่างนี้เรียกว่าวัชรยาน ผู้อยู่ในลัทธิเรียกว่าวัชราจาร (๓) มีการเซ่นพลีผีสาง โดยถือว่าถ้าอ้อนวอนบูชาจะสำเร็จผลประพสบความสุขได้ และเติมลักษณะพระฌานิพุทธให้มีปางดุร้ายอย่างนางกาลี
ซึ่งเป็นเหมือนพระนางอุมาที่ดุร้าย ลัทธินี้เรียกว่ากาลจักร” (เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป, ๒๕๓๗:๑๖๖)
บทวิจารณ์พุทธตันตรยาน
ฟังคำอธิบายของนิกายตันตรยานแล้วก็น่าสงสารพระพุทธศาสนา
ที่ถูกนักการศาสนากระทำปู้ยี่ปู้ยำ คิดถึงการที่พระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเหนื่อยอย่างแสนสาหัสกว่าที่จะทรงตั้งศาสนจักรขึ้นได้
แต่กลับอยู่ในดินแดนอันเป็นถิ่นเกิดได้ไม่ถึง ๒,๐๐๐ ปี
คิดถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นนิกายเถรวาท แต่มีการพร่ำบ่นสาธยายมนตร์ ลงอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกพระเครื่อง คล้ายๆกับตันตระในยุคเริ่มต้นอิทธิพลของตันตรยานแผ่คลุมพุทธอาณาจักรแทบทุกนิกาย เพียงแต่ว่าใครจะรับเอาไว้ได้มากน้อยเท่าใด และแปรสภาพไปสู่ยุคที่สองได้เร็วเท่าใด หากยังรักษาสถานภาพไว้แค่ขั้นที่หนึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เมืองไทยน่าจะรักษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทไว้ได้อีกนาน แต่ถ้าเริ่มเข้าสู่ยุคที่สองคือนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นเทพเจ้า นิพพานเป็นอาณาจักร เป็นแดนสุขาวดีที่มีพระสงฆ์บางรูปอ้างว่าสามารถนำภัตตาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง
คิดถึงสถานการณ์พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นนิกายเถรวาท แต่มีการพร่ำบ่นสาธยายมนตร์ ลงอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกพระเครื่อง คล้ายๆกับตันตระในยุคเริ่มต้นอิทธิพลของตันตรยานแผ่คลุมพุทธอาณาจักรแทบทุกนิกาย เพียงแต่ว่าใครจะรับเอาไว้ได้มากน้อยเท่าใด และแปรสภาพไปสู่ยุคที่สองได้เร็วเท่าใด หากยังรักษาสถานภาพไว้แค่ขั้นที่หนึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เมืองไทยน่าจะรักษาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทไว้ได้อีกนาน แต่ถ้าเริ่มเข้าสู่ยุคที่สองคือนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นเทพเจ้า นิพพานเป็นอาณาจักร เป็นแดนสุขาวดีที่มีพระสงฆ์บางรูปอ้างว่าสามารถนำภัตตาหารไปถวายพระพุทธเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง
นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาต่างกล่าวโทษพระพุทธศาสนาแบบตันตระว่าเป็นความเสื่อมของพระพุทธศาสนาแต่ที่ทิเบตพระพุทธศาสนาแบบตันตระ
กลับเป็นเอกลักษณ์พิเศษ เพราะตันตระจึงทำให้มีทิเบตและชาวตะวันตกรู้จัก
พระพุทธศาสนาแบบตันตระมากว่านิกายอื่น
ชาวทิเบตประเทศที่ไร้อิสรภาพ แต่ไม่ไร้ปัญญา พวกเขายังคงมีพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักที่สำคัญที่สุดในประเทศและที่สำคัญพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นได้ที่ทิเบตก็เพราะตันตระยานนี่เอง
พระพุทธศาสนาในอินเดีย
อาจกล่าวได้ว่า ตันตรยาน คือ นิกายสุดท้ายที่เหลืออยู่ในอินเดีย และสูญหายไปจากอินเดียประมาณศตวรรษที่
๑๗ แต่พระพุทธศาสนาไปเจริญรุ่งเรืองในประเทศอื่น ทั้งมหายานและเถรวาท
ในคัมภีร์ฝ่ายมหายานถือว่าพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนาอันมหัศจรรย์สามครั้งคือครั้งแรกแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร
โดยทรงสอนเรื่องอริยสัจ ๔ แก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จนกระทั่งอัญญาโกญฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
ครั้งที่ ๒ แสดงปรัชญาปารมิตาสูตร บนยอดเขาคิชกูฏนอกกรุงราชคฤห์ เป็นการขยายความของธรรมเทศนาครั้งแรกให้มีความลึกซึ้งและชัดเจนยิ่งขึ้น
ครั้งที่ ๓ แสดงตถาคตครรภ์สูตร
ซึ่งเป็นการสอนเทคนิคและวิธีการที่จะเข้าถึงปรมัตถธรรม ต่อมา ท่านนาครชุนได้นำมาอธิบายทัศนะว่าด้วยศูนยตาและต่อมาได้เกิดนิกายตันตระยานขึ้น
ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่จะเข้าถึงพุทธภาวะได้ง่ายกว่าวิธีอื่น
คำว่าตันตระ
หมายถึงความสืบเนื่องของจิตหรือวิญญาณ ฝ่ายทิเบตมีความเห็นว่าตันตระเกิดขึ้นในครั้งที่พระพุทธองค์แสดงธรรมจักรครั้งที่
๒ พระองค์ได้ทรงประทานคำสอนตันตระเบื้องต้น ในคัมภีร์ฝ่ายทิเบต พวกลามะต่างยืนยันหนักแน่นว่า
“การปฏิบัติตันตระเท่านั้นที่จะเข้าถึงพุทธภาวะได้ โดยรวมเอกภาพให้เกิดขึ้นระหว่างรูปกายและธรรมกาย
โดยอ้างว่า “พระพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างว่า
อุจจาระนั้นถ่ายอยู่ในเมืองเป็นของสกปรก แต่ถ้าอยู่ในท้องทุ่งนาก็กลายเป็นปุ๋ย พระโพธิสัตว์สามารถใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้
ฉันใดก็ฉันนั้น” (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (ษัฏเสน), ๒๕๓๘ : ๑๐๒)
๔ ระดับของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย
ในการการปฏิบัติตามหลักตันตระนั้นมีลำดับขั้นที่แตกต่างกัน
ตามความยากง่าย ซึ่งสามารถแบ่งตามลำดับได้ ๔ ระดับ คือ
๑.
กิริยาตันตระ ว่าด้วยการกระทำ เป็นตันตระขั้นต้น ซึ่งให้ความสำคัญกับกิริยาท่าทาง ดังนั้น
จึงมีวิธีฝึกที่เรียกว่ามุทรา การที่จะเข้าถึงพุทธภาวะได้บางครั้งก็เพียงแต่ตรึกนึกเห็นภาพขององค์พุทธะจนเกิดเป็นแสงสว่าง
การเข้าถึงทางวาจาก็เพียงแต่ได้ยินเสียงกระซิบมนต์เบาๆ หรือท่องสาธยายมนต์จนเกิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพุทธภาวะ
อุปกรณ์ในการฝึกคือการเพ่งกสิณและฟังเสียงสาธยายมนต์
๒.
จรรยาตันตระ ว่าด้วยความประพฤติ
เน้นที่การฝึกฝนทางกายและการฝึกฝนภายในคือการฝึกจิต การฝึกก็ให้นึกเห็นเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งจนเกิดเป็นนิมิตประจำตัว
ที่นิยมมากที่สุดคือพระไวโรจนะพุทธเจ้า
๓.
โยคะตันตระ ว่าด้วยโยควิธี
เน้นการฝึกจิตภายในมากกว่าการฝึกกิริยาภายนอกมีวิธีการในการฝึกค่อนข้างจะพิเศษโดยการอธิบายถึงอาณาจักรแห่งวัชระและมรรควิธีในการชำระกายให้บริสุทธิ์
๔.
อนุตตรโยคะ ว่าด้วยโยควิธีอย่างยิ่งยวด โดยการฝึกฝนภายในจิตอย่างเดียวโดยไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องกิริยาภายนอก
ซึ่งเป็นตันตระขั้นสูงสุด การฝึกจิตในระดับนี้จะต้องอาศัยอาจารย์ผู้ชำนาญ ซึ่งจะคอยถ่ายทอดคำสอนสำคัญ
โดยการแสดงรหัสยนัย ซึ่งเป็นคำสอนที่ลี้ลับอาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ที่ผ่านการฝึกจิตจนถึงระดับแล้วเท่านั้น
ลูกศิษย์จะต้องคอยตีความและนำเอามาฝึกจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ขึ้นในตน (Alex Waymann,
1997:12)
วิธีการที่พุทธศาสนาแบตันตระสอนในทิเบตนั้น
คนภายนอกอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่เรียนหรือศึกษาไม่ยาก ใครต้องการเข้าถึงพุทธภาวะก็เพียงแต่เข้าหาอาจารย์และคอยตีความรหัสนัยที่อาจารย์แสดงเท่านั้นก็จะเข้าถึงอนุตตรโยคะได้แล้ว
หากศึกษาตามขั้นตอนนี้ ตันตระก็ไม่ใช่นิกายที่ลึกลับอะไร แต่ที่มาของคำว่าตันตระเป็นเรื่องที่ควรศึกษา
เพราะตันตระถูกนักปราชญ์หลายท่านให้คำอธิบายไว้อย่างน้ากลัว ชาวพุทธเถรวาทจึงเกรงกลัวพระพุทธศาสนาแบบตันตระยานไปด้วย
ในกรณีของธรรมกายหากนำเอาลัทธิมาอธิบายแล้ว
การเพ่งลูกแก้วจนเกิดเป็นดวงใส ที่ชาวธรรมกายถือว่าได้ดวงตาเห็นธรรมนั้น
แท้ที่จริงมีอธิบายไว้ในกิริยาตันตระ ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติเบื้องต้นเท่านั้น
ธรรมกายไม่ได้สอนผิด เพียงแต่สอนตามหลักของตันตระยานเท่านั้น
ในขณะที่รอบๆข้างเป็นเถรวาท จึงถูกโจมตี จนทำให้การสอนเรื่องธรรมกายขาดความถูกต้อง
ที่ผิดเพราะไม่ตรงกับเถรวาทเท่านั้น แต่ไปตรงกับตันตระ
ถ้าเพียงแต่ธรรมกายบอกว่าพวกเขาสอนตามนิกายตันตระยานเท่านั้น ทุกอย่างก็จบ
เพราะตันตระยานก็คือพุทธศาสนานิกายหนึ่งสังกัดมหายาน
ทิเบตเจริญเพราะตันตระ
เพราะในยุคแรกที่พระพุทธศาสนาเข้าไป ก็ด้วยการปราบผีของท่านปัทมะสัมภวะ
เมื่อปราบผีราบคาบจนผียอมรับนับถือ จึงทำให้ผีเปลี่ยนศาสนา พระพุทธศาสนาในทิเบตจึงเป็นเหมือนการครอบลงไปบนความเชื่อเก่า
เพียงแต่เปลี่ยนผีมาเป็นพุทธเพราะพุทธมีพลังมากกว่า สักวันหนึ่งเมื่อผีมีพลังมากขึ้น
พุทธอาจจะกลายเป็นผีไปก็ได้
บทสรุป
การที่ตันตรยานเจริญในทิเบตได้นั้น
นอกจากจะเป็นเพราะการผสมผสานระหว่างพุทธกับผีแล้ว ยังมีผู้ให้ความเห็นไว้อีกว่า “ตันตรยานนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเถรวาทด้วย และอาจารยวาทด้วย องค์ทะไลลามะทรงเป็นพระภิกษุ
สมาทานสิกขาบทตามพระปาฏิโมกข์ ดุจดังสมณะในบ้านเรา การถือศีลนั้นไม่ใช่เพื่องดทำร้ายผู้อื่นและเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น
หากฝึกให้งดแลเห็นสภาพต่างๆตามที่ปรากฏ รวมทั้งยอมรับสมมุติสัจจ์ อันเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วๆไปในสังคมอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อเข้าถึงปรมัตถสัจจ์นั่นเอง” (ส. ศิวรักษ์, ๒๕๔๒
: ๒)
ตันตรยานจะเป็นส่วนหนึ่งของเถรวาทหรือไม่นั้น
เป็นปัญหาที่ควรศึกษาค้นคว้าต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือการปฏิบัติตามแบบตันตรยานนั้นมีอยู่ในเถรวาทใครจะได้รับอิทธิพลจากใครหรือไม่อย่างไรต้องหาคำตอบต่อไป ตันตระทำให้พุทธศาสนาเสื่อมไปจากอินเดีย
แต่ทำไมตันตระจึงทำให้พระพุทธศาสนาแบบทิเบตเจริญ
เอกสารอ้างอิง
กรุณา-เรืองอุไร
กุศลาสัย. (๒๕๑๖). ภารตวิทยา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สยาม.
จำนงค์ ทองประเสริฐ,ศาสตราจารย์. (๒๕๔๐). บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดีย. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์.
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (ษัฏเสน). (๒๕๓๘). พระพุทธศาสนาแบบทิเบต.กรุงเทพฯ: ส่อง ศยาม.
เสถียร โพธินันทะ. (๒๕๔๑). ปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป. (๒๕๓๗). ลัทธิของเพื่อน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พิราบ.
สุลักษณ์ ศิวรักษ์. (๒๕๔๒). พุทธศาสนาตันตระหรือวัชรยาน. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย.
วศิน อินทสระ. (๒๕๓๐). พุทธปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
Alex Waymann. (1997). Tantric Buddhism. Delhi: Motilan.
จำนงค์ ทองประเสริฐ,ศาสตราจารย์. (๒๕๔๐). บ่อเกิดลัทธิประเพณีอินเดีย. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด อรุณการพิมพ์.
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ (ษัฏเสน). (๒๕๓๘). พระพุทธศาสนาแบบทิเบต.กรุงเทพฯ: ส่อง ศยาม.
เสถียร โพธินันทะ. (๒๕๔๑). ปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
เสถียรโกเศศ-นาคะประทีป. (๒๕๓๗). ลัทธิของเพื่อน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พิราบ.
สุลักษณ์ ศิวรักษ์. (๒๕๔๒). พุทธศาสนาตันตระหรือวัชรยาน. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย.
วศิน อินทสระ. (๒๕๓๐). พุทธปรัชญามหายาน. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.
Alex Waymann. (1997). Tantric Buddhism. Delhi: Motilan.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น